Day 1
ทริปนี้เป็นทริปค้างคืนทริปแรกที่เราทั้งสามคนจะไปด้วยกัน ครั้งนี้แสนสบายพี่ที่ไปด้วยจัดโปรแกรมไว้อย่างเรียบร้อย มีการส่งโปรแกรมให้ดูล่วงหน้าอย่างกับบริษัททัวร์ แถมโปรมแกรมยังมีการอธิบายด้วยภาษาสละสวยอีกด้วย
เริ่มต้นทริปด้วยสายการบินนกแอร์ ต้องถือว่าเป็นการนั่งเครื่องบินใบพัดครั้งแรก ซึ่งก็เหมือนเครื่องบินปกติ แค่เสียงภายในห้องผู้โดยสารจะมีเสียงเครื่องยนต์ดังกว่าเครื่องปกติ บินแค่แป๊ปเดียวก็ถึงสนามบินน่าน ก็เป็นสนามบินเล็กเหมือนสนามบินต่างจังหวัดทั่วไป พวกเราออกเดินทางตามโปรแกรมไปยังร้านเฮือนฮอม ร้านนี้ถือเป็นร้านดังของจังหวัดเล็กๆแห่งนี้ เข้าใจว่าไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก มาถึงคนเต็มร้าน แถมได้ยินมาว่าบางทีต้องรอคิวนานสุดๆ แต่วันนี้โชคเข้าข้างพวกเรา เพราะว่าไปถึง ยืนงงแป๊ปเดียวก็ได้นั่งเลย อาหารก็ไม่ช้ามาก พวกเราสั่งมาเยอะ หลายอย่างมาก ประหนึ่งมากันเป็นสิบคน
กินอิ่มจนพุงกาง ก็ไปกันต่อที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ณ จุดนี้มีจุดไฮไลท์คืออุโมงค์ต้นไม้ เป็นต้นลีลาวดีที่มีแต่กิ่งไม่มีใบไม่มีดอก พวกเราใช้เวลาถ่ายกับอุโมงค์ต้นไม้อยู่พอควร ทุกคนต้องคอยหาจังหวะ หลบกันไปหลบกันมาเพื่อไม่ให้ติดคนอื่นอยู่ในเฟรม โชคดีตอนที่ไปไม่คึกคักมากเลยมีโอกาสได้รูปแบบคนโล่งๆมาเก็บไว้ เดินต่อไปในบริเวณนั้นเพื่อไปดูวัดน้อย วัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย ขนาดแค่ศาลพระภูมิเอง ออกจากพิพิธภัณฑ์ฯไปไหว้พระกันต่อเพื่อความเป็นสิริมงคลที่วัดมิ่งเมือง ที่นี่วัดเป็นปูนแกะสลักสีขาว มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองให้คนกราบไหว้พันผ้าสีๆด้วย ด้วยความตั้งใจที่วันนี้จะเดินทางขึ้นดอยเสมอดาวในช่วงบ่ายแก่ๆ จึงยังมีเวลาให้แวะร้านขนมหวานดังในเมืองคือ ขนมหวานร้านป้านิ่ม ที่ร้านมีหม้อขนมหวานตั้งเรียงรายให้เลือกอยู่หลายอย่าง สายของคาวอย่างเราก็ได้แต่สั่งของที่กินเป็นเพียงอย่างเดียวคือข้าวเหนียวมะม่วงไอติม และด้วยแผนที่วางไว้จะต้องมีไปกินเค้กกันต่อ เลยแวะที่ร้าน I Sugar ที่นี่มีเมนูให้เลือกหลายเมนู ด้วยความที่อิ่มสุดๆแล้วไม่อยากกิน เลยมานั่งรออยู่ในร้านให้เพื่อนๆไปเลือกเค้กกันเอง ปรากฎว่ากลายเป็นการสร้างโอกาสที่ดี ให้เพื่อนๆได้ทำ Surprise เป่าเค้กวันเกิดให้เลย ต้องขอบคุณมากๆเลย ครั้งนี้ไม่รู้ตัวจริงๆเพราะว่าเลยวันเกิดมาแล้วด้วย นั่งแช่แอร์เย็นๆจนชุ่มชำ ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน
ออกเดินทางมาสักพักก็ถึงดอยเสมอดาวในช่วงเย็น มองไปรอบๆรู้ได้เลยว่าเราเป็นพวกท้ายๆที่มาถึง รถจอดเรียงรายเต็มไปหมด คนดูเยอะกว่าที่คิดไว้เหมือนกัน พวกเราติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อหาเต็นท์ที่จองไว้ เต็นท์จะแบ่งเป็นโซนเป็นแถวๆ และถูกกางไว้พร้อมวางหมอนกับผ้าห่มไว้ให้ในเต็นท์เรียบร้อยแล้ว พวกเราเก็บของเสร็จก็ออกมาเดินดู เห็นคนตั้งเตาหมูกระทะ อยากกินกันบ้างเลยรู้ว่าต้องสั่งขึ้นมาจากด้านล่าง เลยนั่งรถลงไปสั่ง ร้านหมูกระทะจะรับคำสั่งแล้วขอเบอร์โทรไว้ บอกว่าเดี๋ยวจะขึ้นมาส่ง ระหว่างนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นชมวิว ณ จุดชมวิว วิวที่นี่ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก อากาศด้านบนเริ่มเย็นเพราะมีลม เดินเล่นถ่ายรูปสักพักหมูกระทะก็มาส่ง พอหมูกระทะมาส่งก็เริ่มงงกัน เพราะว่าเค้ามีเตาแต่ไม่มีถ่านให้ ไม่รู้จะทำยังไงเลยเดินไปหาเจ้าหน้าที่ บอกจุดเตาจุดถ่านไม่เป็น เจ้าหน้าที่คงสงสารคนไม่รู้เรื่องเลยใจดีแบ่งถ่านที่เค้าจุดเตาไว้ให้ เป็นอันได้ไฟมาทำหมูกระทะกินกัน เรานั่งกินหมูกระทะอยู่หน้าเต็นท์ ดูจากความเตรียมพร้อมแล้ว บอกได้เลยว่าแพ้เต็นท์ข้างๆราบคาบ เต็นท์ข้างๆมีทั้งเสื่อ อุปกรณ์จานชามอย่างดี ดูมีการพกเนื้ออย่างอื่นมาทำเอง ส่วนของเราแม้แต่เสื่อยังไม่มี โชคดีร้านหมูกระทะเค้าเตรียมจานช้อนชามให้ ไม่งั้นคงกินกันไม่ได้ พวกเราทุลักทุเลแล็กน้อย เพราะไม่ได้เอาไฟฉายแบบที่ตั้งพื้นมาได้ เอามาแต่ไฟฉายธรรมดา มือนึงต้องจับไฟฉายส่องดู อีกมือก็ต้องปิ้งหมูกระทะไป หมูกระทะรสชาติเหมือนกับหมูกระทะโดยทั่วไป แต่ก็อร่อยขึ้นมาได้ด้วยบรรยากาศและเพื่อนร่วมทริป พวกเรากินกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางความมืด กินเสร็จก็นั่งเล่นคุยกันในเต็นท์ ไปล้างหน้าแปรงฟัน และตัดสินใจเข้านอนโดยไม่อาบน้ำ
Day 2
พวกเราตื่นเช้าเก็บของเรียบร้อยก็ออกเดินทางกัน ตั้งใจจออกเดินทางต่อเพื่อไปตามหาดอกชมพูภูคาในตำนาน จากคำบอกเล่าดอกชมพูภูคาถือว่าเป็นพันธ์ุไม้หายาก และสามารถพบได้แค่ที่อำเภอปัวเท่านั้น ซึ่งจะออกดอกในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. แต่ก่อนถึงอำเภอปัว เราก็ได้แวะพักตามจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผาชู้ เสาดินนาน้อย ซึ่งยังอยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน และวัดหนองบัว ซึ่งเป็นวัดศิลปะแบบล้านนา เดินทางมาเรื่อยๆเพลินๆก็เข้าสู่เขตอำเภอปัว พวกเราแวะกินข้าวกลางวันกันที่ร้าน ลุงมาด ไอ เอ็ม เอฟ ร้านนี้ขายอาหารฝรั่ง จานเด็ดคือพิซซ่าภูเขาไฟ รสชาติใช้ได้เลย
และแล้วก็เดินมาถึงจุดทำภารกิจสำคัญในวันนี้ ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา พวกเราเดินตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติชมพูภูคา เส้นทางเดินสบายๆไม่ลำบาก เดินไปสักพัก ก็มาเจอสิ่งที่ตามหา ต้นชมพูภูคา ถึงจะเดินมาเจอแล้วก็ใช่ว่าจะเห็นดอกชมพูภูคาได้ง่ายๆ ในวันที่พวกเรามาถึงดอกชมพูภูคามีอยู่ประมาณ 10 ช่อ แถมแต่ละช่ออยู่สูงลิบลิ่ว มองด้วยตาเปล่านี่แทบจะไม่เห็น แล้วถึงแม้มีกล้องซูมแล้วซูมอีก ก็เห็นได้เท่านี้ คิดในแง่ดีว่าดีกว่าไม่ได้เห็น พอเจอต้นชมพูภูคา พวกเราก็เดินกลับตามเส้นทางเดิม ไม่ได้เดินจนครบรอบเส้นทาง ออกรถมาจากเสินทางศึกษาธรรมชาติได้ไม่เท่าไหร่ ก็เห็นคนจอดรถหยุดกันอยู่เต็มถนน พวกเราก็เลยจอดด้วย ปรากฎว่ามีต้นชมพูภูคาอยู่ 1 ต้น ครั้งนี้ ดอกของต้นชมพูภูคาอยู่ใกล้ขึ้นมามาก แม้จะมีเพียงช่อเดียว แต่ก็ทำให้พวกเราได้เห็นความงามของดอกชัดๆ รู้งี้มาดูที่นี่ตั้งแต่แรกดีกว่า ขับรถมาก็ถึงเลย ไม่ต้องเดินด้วย ทั้งนี้ ตอนมาเขียนบันทึกนี้ มา Search ดูพบว่าเดี๋ยวนี้เค้ามีการขยายพันธุ์เพิ่มเติมไปยังพื้นที่อื่นๆ แถมยังมีปริมาณเยอะกว่าที่อำเภอปัวด้วย
เสร็จจากการดูต้นชมพูภูคา ก็มาต่อกันที่ต้นพญาเสือโคร่ง คราวนี้เป็นการดูดอกไม้อย่างสะใจเลย ต้นพญาเสือโคร่งหลายสิบต้นออกดอกบานสะพรั่งทั่วบริเวณ สวยงามมาก นี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็นดอกไม้ทั้งสองประเภทนี้
หลังจากชื่นชมความงามของดอกไม้เสร็จ พวกเรากลับเข้าตัวเมืองน่าน ไปชมวิวเมืองน่านแบบ 360 องศาที่วัดพระธาตุเขาน้อย ก่อนเข้าที่พักที่น่าน บูติก โฮเท็ล อาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยก็ได้เวลาเย็น ออกมาเที่ยวถนนคนเดิน ถนนคนเดินคึกคักมีขายของกินเต็มไปหมด พวกเราซื้อของมากินหลายอย่าง อร่อยทุกอย่างเลย มาครั้งนี้ถือว่าโชคดี ตรงกับการจัดงานประเพณีห้าเป็ง พวกเรามานั่งกินที่พื้นลานที่เค้าจัดไว้ให้ พร้อมกับดูชาวบ้านออกมาเต้นรำ เคล้ากับเสียงเพลงพื้นบ้าน เดินเล่นไปเรื่อยๆ วันนี้มีการจัดเทศกาลศิลปะ ชื่อ น่านเต๊อะ มีงานศิลปะต่างๆมาทั้งโชว์ทั้งขาย เดินเล่นได้เพลินๆ จนกลับเข้าโรงแรม
Day 3
เช้าวันที่ 3 พวกเรานัดกันแต่งตัวชุดพื้นเมืองให้เข้ากับบรรยากาศ และตัดสินใจเช่าจักรยานของโรงแรมเพื่อไปเที่ยววัดภูมินทร์ และพระธาตุแช่แห้ง ระยะทางจากโรงแรมไปวัดภูมินทร์ประมาณ 1.5 กม. การขี่จักรยานไปก็ยังถือว่าสบายๆ ไม่ลำบากมาก จะลำบากเล็กน้อยก็ตรงที่ใส่ผ้าถุงยาวมา ขี่ไปถึงวัดภูมินทร์ ถ่ายรูปกับจิตรกรรม ปู่ม่านย่าม่านชื่อดังที่กำลังกระซิบบอกรักกันอยู่เป็นอันเรียบร้อย ก็ออกเดินทางต่อไปยังวัดพระธาตุแช่แห้งที่อยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 3.5 กม. ขี่ไปๆได้สักพักเริ่มไม่สนุก เพราะเริ่มสายแดดเริ่มแรง อากาศร้อนจัด ผ้าถุงก็ทำให้ขี่จักรยานลำบาก แถมทางไปพระธาตุแช่แห่งก็ต้องมีขี่ขึ้นสะพานอีกด้วย ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย แต่สุดท้ายพวกเราสามคนก็มาถึงพระธาตุแช่แห้งได้ ดีใจสุดๆ เรื่องนี้เป็นบทเรียนเลยว่าจะทำกิจกรรมอะไร ควรแต่งตัวให้เหมาะสมและดูอากาศด้วย ขากลับบอกกับพี่ที่มาด้วยกันว่าไม่ขี่กลับแล้ว ขอจ้างรถกลับ ไปเดินถามแม่ค้าแถวนั้นดูว่ามีใครรับจ้างพาพวกเราไปส่งได้บ้าง โชคดีมีคนอาสารับจ้างไปส่ง แต่ก็แอบคิดราคาแพงตั้ง 300 บาท กลับไปถึงโรงแรม อาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน
ก่อนกลับก็ขอแวะชิมนู้นชิมนี่ตามประสา ไม่ว่าจะเป็นเตี๋ยวไร้เทียมทาน สลัดร้าน Sweety 9 กาแฟและขนมร้านสุดกองดี เป็นอันอิ่มหนำสำราญกันทั่วหน้า เดินทางกลับกรุงเทพฯได้ เป็นอันจบทริปกระซิบรักที่น่าน
Comments are closed.