ทริปนี้เกิดขึ้นแบบงงๆ ตอนแรกมีโจทย์ว่าจะไปหัวหินพักผ่อนง่ายๆ ปรากฎว่าหาห้องพักไปมาด้วยความที่คงเป็นช่วง High Season แล้ว อยู่ๆค่าห้องที่เคยดูไว้ ก็แพงขึ้นมาซะยังงั้น หาไปหามา ปรากฎว่าไปเห็น เกาะ Cockburn น้ำสวยใส ยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน บอกว่าเป็นเกาะที่เพิ่งเปิดในปีนี้ เห็นแล้วอยากไปเลยลองถามพ่อกับแม่ดูว่าโอเครึป่าวเพราะต้องนั่งเรือออกจากฝั่งไปประมาณชั่วโมงนึง ถึงจะถึง พ่อแม่บอกว่าโอเค ทริปเลยเกิดขึ้น
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจองตั๋วกระชั้นชิด หรือเพราะที่นี่กำลังฮิต การจองทุกอย่างไม่ได้ได้ดังใจอย่างที่คิด เริ่มจากตอนแรกจะจองตั๋วเครื่องบิน ก็ต้องติดต่อกับ Love Andaman ก่อนเพื่อให้รู้วันที่จะไป Cockburn ได้ ปรากฎว่า Love Andaman บริษัทนำเที่ยวเจ้าเดียวที่ได้สิทธิ์สัมปทานบนเกาะ บอกว่าถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์เต็มยาวไปหลายเดือน เลยตัดสินใจว่าไปวันธรรมดาก็ได้ เลยไปดูตั๋วเครื่องบินหาช่วงเวลาบินที่ถูกที่สุด ได้มาเป็นตั๋วของ Air Asia ซึ่งตอนนี้ มีบินไปกลับ วันละเที่ยว (ถูกสุดนี่ ถ้าไปบอกให้คนใน Pantip ฟังคงโดนหัวเราะเยาะเล็กน้อย ค่าตั๋วไปกลับตกคนละ 2,783 บาท) เสร็จก็ต้องกลับไปติดต่อกลับ Love Andaman ใหม่ การติดต่อก็ยากแสนยาก เพราะที่นี่เค้าจะไม่รับจองทางโทรศัพท์ ก็จะให้จองผ่าน Web Line หรือ FB จริงๆจองผ่าน Web ก็สะดวกสุด แต่ปรากฎว่าจองเป็นแบบ Package รวมโรงแรมยังไม่ได้ เลยต้องติดต่อผ่านทาง FB แทน พอติดต่อทาง FB ต้องรอประมาณวันนึง เจ้าหน้าที่เค้าถึงจะติดต่อกลับ มีอะไรต้องรีบพิมพ์ๆไปให้ครบในรวดเดียว เพราะถ้านึกอะไรได้แล้วอยากถามเพิ่ม ข้อความก็จะไปถูกต่อท้ายใหม่ ทำให้ได้รับการตอบช้าไปเรื่อยๆ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องว่าโรงแรมที่ตั้งใจไว้จะอยู่เต็ม ก็ใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียว พอรู้ว่าซื้อแบบแพคเก็จรวมโรงแรมไม่ได้ เลยลองมาพยายามหาและติดต่อตรงเอง โรงแรมที่ดูไว้ว่าน่าจะพอให้พ่อแม่พักได้แบบสบายๆพวก Blue Sky Resort / น้ำใส เขาสวย / Hidden Resort เต็มหมด งงไปเลย นี่คือไปวันจันทร์กับพฤหัส สุดท้ายเหลืออยู่ไม่กี่โรงแรมที่คิดว่าพอจะโอเค (สุดท้ายเข้าใจว่าคนคงไปเที่ยวเกาะกันหมด เพราะที่เที่ยวระนองที่ไปมาก็แทบไม่เจอคนอื่นเลย) โรงแรมแรกคือ The Galla ราคาย่อมเยา เพิ่งเปิดใหม่ ปรากฎว่าพักได้แค่ 2 คืน คืนที่สามเต็ม ต้องหาโรงแรมใหม่ สุดท้ายไปได้ที่ The Iconic ราคาแพงอยู่ 3 คน 3,500 บาท ที่แพงนี่เพราะว่าดูจากในรูปโรงแรมจะเป็นไม่ใช่แบบรีสอร์ทหรือโรงแรมใหญ่ๆ จะเป็นโรงแรมแบบตึกแถว สุดท้ายจองได้ครบเรียบร้อย ก่อนหน้าเดินทางอาทิตย์กว่าๆ
วันแรกเดินทางด้วยเที่ยวบิน FD3140 ออกจากดอนเมือง 11.45 ชั่วโมงกว่าก็ถึงสนามบินระนอง ก่อนเครื่องจะลงนี่ประทับใจกับวิวมากๆ วิวจะเป็นเกาะที่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบตัดน้ำสีฟ้า สวยมากเลย พอถึงก็มารับรถที่จองไว้กับระนองรถเช่า ด้วยความที่จองกับบริษัทท้องถิ่น ก็สบายๆ มาถึงรถมาจอดรออยู่หน้าสนามบินอยู่แล้ว คนส่งรถถ่ายแค่ใบขับขี่ และก็ส่งรถให้เลย สบายๆไม่วุ่นวายอะไร จุดหมายแรกคือ ไปกินข้าวกลางวันที่ร้านถอดรองเท้า ไปถึงแบบงงๆ หน้าร้าน ดูไม่เหมือนร้านอาหาร บรรยากาศเงียบเชียบ เดินทะลุเข้าไปในตัวบ้านก็ยังงงๆ จนทะลุถึงหลังบ้าน จะมีโต๊ะตั้งอยู่อีกฝากตึกนึง มีคนมากินอยู่ก่อนหน้าอยู่แค่โต๊ะเดียว ด้วยความหิวจึงรีบสั่งอาหาร อาหารร้านนี้อร่อยทุกอย่าง (ที่สั่งมามีกุ้งแม่น้ำผัดสะตอ ปลาทรายทอดกระเทียม ยำผักกูด แชบ๊วยต้มกะทิ) รสชาติกลมกล่อม แม้แต่ปลาตะลุมพุกต้มเค็มที่ไม่เคยกิน ก็อร่อยใช้ได้เลย มือนี้ทุกคนประทับใจด้วยความเอร็ดอร่อย
กินเสร็จเที่ยวต่อเลย วันนี้แผนเป็นการเที่ยวในส่วนเหนือของจังหวัด เริ่มจากที่แรก วัดวารีบรรพต พอมาถึงหาดูใน Google พบว่าวัดนี้มีจุดเด่นอยู่ 3 อย่าง คือ 1 พระนอนที่ยาวที่สุดในภาคใต้ 2 เจดีย์แบบพม่า 3 หลวงพ่อด่วน คือที่วิหารจะมีตั้งศพของหลวงพ่อด่วนที่เสียชีวิตไปกว่า 10 ปีแล้วแต่ร่างของท่านไม่เน่าเปื่อย ตามคำบอกเล่าคือศพท่านถูกเอาไปเผาแล้วแต่ว่าไม่ไหม้ ครอบครัวเลยเอาศพท่านมาวางให้สักการะ พอเข้าไปแล้วรู้สึกทึ่งมาก เพราะร่างของท่านไม่เน่าเปื่อยจริงๆ แบบไม่ได้เป็นแบบศพแห้งๆที่เคยเห็นของบางที แต่ยังเป็นร่างที่ดูมีเนื้อหนังอยู่ เหมือนมีชีวิต เพียงแต่ว่าสีจะดูคล้ำๆไปบ้าง พอออกมายังคิดสงสัยว่าเผายังไงทำไมไม่ไหม้ ตอนหลังมานวดเท้า คุยกับหมอนวดดูเค้าบอกว่าตอนเผาใส่โลง โลงไหม้หมดแล้ว แต่ร่างท่านกับจีวรไม่ไหม้ เค้าบอกว่าวันนั้น ชาวบ้านก็ตัดแบ่งจีวรที่ท่านห่มอยู่ไปเก็บติดตัวกันหมด น่าอัศจรรย์จริงๆ
ขับมาได้สักพัก แวะพักที่ร้านกาแฟสดห้วยค้างค้าว ดีใจมากมีน้ำส้มจี๊ดที่ชอบ ปกติหากินไม่ค่อยจะได้ บรรยากาศร้านดีมาก มีที่ให้นั่งริมลำธาร มีต้นไม้ปกคลุม นั่งได้อากาศไม่ร้อน
ต่อจากนั้น ขับไปต่อที่น้ำตกปุญญบาล ด้วยความที่เป็นหน้าร้อน น้ำใกล้จะแห้งหมดแล้ว น้ำตกที่นี่สะดวกมาก อยู่ติดริมถนนเลย เหมาะกับพ่อแม่สุดๆ ไม่ต้องเดินไกล จุดนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะดีใจหรือเสียใจดี เจ้าหน้าที่อุทยานเห็นหน้า แล้วเอ่ยปากว่า ผู้สูงอายุไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าชมอุทยานนะคะ น่าจะทำเอาพ่อเสียเซล์ฟไปเล็กน้อย แต่หลังจากที่นี่ก็ใช้มุขนี้บอกทุกที่ เลยได้เข้าฟรีหมดเลย การเป็นผู้สูงอายุนี่ ก็มีข้อดีอยู่บ้าง
จุดต่อไป คือจุดชมวิวเขาฝาชี ทางขึ้นเขามีช่วงชันและคดเคี้ยวสั้นๆ แต่วิวข้างบนสวยมาก เดินดูวิวถ่ายรูปได้อย่างสบายใจ ไม่มีคนเลยสักคนเดียว
จุดต่อไปห่างออกไปประมาณ 30 กม. ถามพ่อว่าเหนื่อยรึยัง อยากไปต่อรึป่าว หรือจะกลับเข้าเมือง พ่อบอกว่าไม่เหนื่อย เลยขับไปต่อที่คอคอดกระ จุดทึ่แคบที่สุดในประเทศไทย มองข้ามแม่น้ำไปก็จะเห็นฝั่งพม่า อ้อมไปด้านหลัง มีป้ายปักไว้ว่ามะพร้าว 4 แฉก ขับตามป้ายไปไม่ไกล จนสุดทางลงแม่น้ำเห็นต้นมะพร้าวเรียงรายอยู่ข้างทาง แต่ก็มองยังไงก็ไม่รู้ว่า 4 แฉกยังไง โชคดีมีพระเดินมาให้อาหารหมา เลยถามท่านดูว่า 4 แฉกยังไง ท่านเลยชี้ให้ดู เป็นอันคลายข้อสงสัยไปได้
ขับเลยออกไปอีกนิดนึง กะไปซื้อซาลาเปาทับหลี เห็นเค้าบอกเป็นซาลาเปาชื่อดัง ขับไปถึง 2 ข้างทางเป็นร้านขายซาลาเปา เรียงรายล้อมไปหมด แต่ร้านที่ตั้งใจมาซื้อกลับปิด แต่ก็ไม่เป็นไร ลองซื้อร้านอื่นมากินดู ซื้อซาลาเปาไส้หมูสับมา รสชาติใช้ได้ หมูสับหอมเผ็ดพริกไทยนิดหน่อย
ขับย้อนกลับมา เพื่อไปกินข้าวเย็นที่ร้าน ท่าเรือ มาถึงก็เป็นสุดทางติดแม่น้ำพอดี มาถึงร้านเป็นของเราอีกเช่นเคย ไม่มีใครมากินเลยสักคนเดียว อาหารที่นี่สด และอร่อยมาก เราเลือกทำแต่นึ่งๆเผาๆ เป็นการทำแบบจีนๆ อาหารทะเลถึงจะดูตัวเล็ก แต่รสชาติหวานอร่อยมาก บวกกับหลังกินเสร็จได้ดูวิวริมแม่น้ำกระบุรี ตอนพระอาทิตย์กำลังตก สวยมาก สองฝากฝั่งมีเรือชาวบ้านแล่นไปมา
กินเสร็จ ตรงดิ่งกลับเข้าตัวเมืองระนอง Check-in เข้าโรงแรม The Galla โรงแรม สะอาดสะอ้าน ด้วยความที่ทำเป็นหอพักด้วย เลยมีทั้งฟิตเนส สระว่ายน้ำ ห้องอาหาร ร้านกาแฟ มีที่จอดรถทั้งด้านหน้าและด้านหลังโรงแรม ห้องก็ถือว่าโอเค แต่พออยู่ 3 คน วางเตียงเสริมเข้าไปก็อึดอัดเล็กน้อย
หลังจาก Check-in เรียบร้อย ออกมาขับรถวนดูเมือง เจอร้านน้ำเต้าหู้ ชื่อร้านดอกไม้ คนเต็มร้านเลย เลยเข้าไปลองกินดู น้ำเต้าหู้อร่อยดี มีเครื่องให้หลายอย่าง ส่วนแม่สั่งบัวลอยน้ำขิงมา แต่พบกับความผิดหวัง อีกวันนึงมาใหม่สั่งบัวลอยไทย แม่บอกว่าอร่อยดี
เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นมากินอาหารเช้าที่โรงแรม กินเสร็จเห็นมีร้านบังกี โรตีอาหรับอยู่ตรงข้ามโรงแรม เลยเดินไปกิน ด้วยความที่อิ่มแล้ว กะจะสั่งน้อยๆ ปรากฎว่าไปถึงเห็นมีไก่ทอดก็อยากชิม เลยสั่งมา เห็นข้าวหมกก็อยากชิม ตอนแรกขอเค้าแค่ช้อนเดียว เพราะแค่อยากชิม กินไม่ไหว ปรากฎว่าเค้าให้ฟรีมาทั้งจานเลย ใจดีมากๆ แต่สุดท้ายเราก็กินลงท้องไม่ไหวอยู่ดี
วันนี้โปรแกรมที่วางไว้ก็หลวมๆไม่ได้มีอะไรมาก ออกเที่ยวทางใต้ของตัวเมือง แต่ก่อนออกเที่ยวก็มี Mission ที่พ่อกับแม่คุยกันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เรื่องขนม ตอนแรกคือพ่อกับแม่บอกว่าดูรายการนำเที่ยวของ Voice TV มีขนมอันนึงคล้ายๆขนมถังแตกน่ากิน ชื่อขนมอะไรไม่รู้ ชื้อร้านก็ไม่มี แต่บอกว่าถ้าเห็นหน้าร้านจะจำได้ บอกว่าจะวางเป็นเตาๆเรียงกัน เมื่อคืนก็เลยหาดู ไม่เห็นรายการที่พ่อกับแม่บอกเลย คือเข้าไปดูใน Voice TV มีพาไปเที่ยวระนองมาเป็นปีแล้ว แล้วก็ของใหม่ไม่มีเลย ไม่รู้ว่าเค้ายังไม่ Upload รึป่าว แม่บอกว่าจำได้ว่าพิธีกรผู้ชายชื่อมิคกี้ หาดูยังไงก็ไม่เห็น สุดท้ายเลยลองพยายามหาชื่อขนม ปรากฎว่าเจอว่าชื่อ อาโป้ง เป็นขนมโบราณมีอยู่ในหลายๆจังหวัดทางภาคใต้ ลอง Search ดูร้านก็เห็นมีอยู่ 2 ร้าน พอตอนเช้าเลยขับรถออกไปตามหา ปรากฎว่าออกไปหา ถามชาวบ้าน เจออยู่ 2-3 ร้าน พ่อก็บอกว่าไม่ใช่ที่เห็นในทีวี แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าหน้าไปรษณีย์ พอไปที่ไปรษณีย์ก็มีอยู่ร้านนึง แต่ก็ไม่ใช่ในทีวี สุดท้ายไปถามหาที่ไปรษณีย์ระนอง ต้องขอบคุณพี่ๆเจ้าหน้าที่ และชาวบ้านที่มาใช้บริการในวันนั้นมาก ทุกคนมาสุมหัวช่วยกันคิดร้านอาโป้งให้ ปรากฎว่าได้มาเพิ่มคือร้านข้างแบงค์กรุงเทพ แต่ว่าน่าจะปิดแล้ว สุดท้ายเราเลยซื้ออาโป้งที่ตั้งอยู่ข้างไปรษณีย์มากินแทน สรุปแล้วรสชาติคล้ายๆทองม้วน แต่เป็นแบบนิ่มๆ มีความกรอบนิดหน่อยตรงขอบๆ สรุปวันนี้ Mission ไม่สำเร็จ หาไปชั่วโมงนึงได้
พอกินเสร็จก็เริ่มออกเที่ยว เริ่มที่แรกคือน้ำแร่ร้อนบ้านพรรั้ง ที่นี่มีทำเป็นบ่อให้แช่ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อยู่สองบ่อ ด้วยความที่ไม่ได้เอาชุดมา ก็เลยไปล้างขา แล้วเอาขาลงไปจุ่ม ปรากฎว่าโดนเจ้าหน้าที่มาเตือน เพราะเค้าบอกว่าที่นี่ไม่เหมือนที่รักษะวารินที่ให้แช่เท้าได้ ที่นี่เป็นบ่อแช่ตัว ต้องให้อาบน้ำ และลงแช่ทั้งตัว เราก็งงๆ เพราะไม่ได้มีป้ายติดห้ามไว้ แต่ก็เชื่อฟังแต่โดยดี รีบขึ้นมา เจ้าหน้าที่เลยแนะนำให้ไปสปาปลาธรรมชาติ คือข้างจะมีลำธารอยู่ซึ่งมีปลาตัวเล็กๆเต็มเลย พอหย่อนเท้าลงไปเท่านั้นแหละ ปลาทั้งฝูงกรูกันมาตอดเท้า เรากล้าเอาลงแค่แป๊ปเดียว กลัวปลาตอดจนเป็นแผล แต่ก็งง ว่าปลามันรู้ได้ไง หย่อนปุ๊ปวิ่งมาปั๊ป มันคงเห็นว่าเป็นอาหารของมันแน่ๆ
ต่อไปผ่านไปที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว น้ำตกดูยิ่งใหญ่มาก แต่น้ำเริ่มจะแห้งแล้ว เราเลยเข้าอุทยานไป แต่ไม่เดินไปถึงที่น้ำตก เจอเต่าภูเขามานอนเล่นอยู่ที่หน้าที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าที่บอกว่ามันเดินลงมาจากเขา มากินลูกอะไรไม่รู้ที่ปลูกอยู่หน้าที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าบอกให้ขับรถขึ้นไปดูที่จุดชมวิว จุดชมวิวใกล้มาก แต่ทางก็ชันมาก ขึ้นไปจะมองเห็นวิวภูเขาหญ้าอยู่ลิบๆ
ขับรถไปต่อที่วัดบ้านหงาว ที่นี่มีพระดีบุกที่ใหญ่ที่สุดให้สักการะ และด้านหลังเป็นวังมัจฉาให้เลี้ยงปลา มีปลาตัวใหญ่ๆเต็มเลย มีจุดให้เดินขึ้นเขาไปสั่นกระดิ่งด้วย สงสัยมากว่าใครจะขึ้นไป แต่ก็มีคนเดินขึ้นไป แดดแรงมากกว่าจะเดินขึ้นไปถึงต้องตัวดำปี๋แน่ๆ ที่ใกล้ๆกันมีร้านขายของฝากชื่อร้านวัชรี มีของฝากให้เลือกซื้อเยอะอยู่เหมือนกัน ขับไปอีกนิดนึงก็จะเป็นร้านโรตีนิสรา แต่วันนี้อดกินเพราะไปถึงก็หมดแล้ว (ถึงก่อน 11 โมงนิดหน่อย)
ขับรถวนกลับเข้าตัวเมือง แวะดู Unseen Thailand งงไปเลยว่า Unseen ยังไง เป็นภูเขาหัวโล้น มีหญ้าปกคลุมอยู่
กินข้าวเที่ยงที่ร้านโชกุน เป็นร้านที่ขายเป็ดหลากหลายเมนู อร่อยดี คนแน่นเต็มร้านเลย กินเสร็จ ขับรถวนไปมาพอดีเจอร้านกล้วยแขก กรอบอร่อยเลย ซื้อมาเสร็จ ก็กลับไปนั่งเล่นกินกาแฟที่โรงแรม
นั่งกันสักพัก คิดกันได้ว่าอากาศยังร้อนอยู่ ไปหาร้านนอนนวดดีกว่า สุดท้ายมาจบที่น้ำนอง ฮอทสปา ที่อยู่ตรงบริเวณบ่อน้ำร้อนสวนสาธารณะรักษะวาริน ที่นี่มีบ่อน้ำให้แช่น้ำแร่ด้วย บอกเอาน้ำแร่มาจากที่รักษะวาริณ แช่หนึ่งชั่วโมงคิด 200 บาท มีชุดว่ายน้ำหรือกระโจมอกให้เปลี่ยนด้วย พวกเรา 3 คนเลยแช่น้ำแร่ แล้วก็ขึ้นมานวดเท้าต่อ สบายตัวเลย พอตอนออกมาจากแช่น้ำแร่ ฝนตกหนักมาก
แต่ต้องถือเป็นความโชคดี พอนวดเท้าเสร็จฝนก็หยุดตก ทำให้ได้ไปเดินเล่นดูที่ตรงสวนสาธารณะ ตรงนี้จะมีบ่อน้ำให้แช่เท้า แบบใครมาถึงก็นั่งแช่ได้เลย แล้วก็มีส่วนที่ให้แช่ตัว น่าจะเสียเงินเพิ่ม เห็นชาวบ้านบอก 20 บาท บ่อก็ดูสะอาดสะอ้านดี เราก็ลองแช่เท้าต่อ น้ำร้อนกว่าข้างในเยอะเลย ติดป้ายเอาไว้ที่ 40 องศา
พอเสร็จก็ขับรถต่อขึ้นไปที่ ระนองแคนย่อน ที่นี้เป็นเหมือนบ่อน้ำขนาดใหญ่สีเขียว ตัดกับวิวภูเขาด้านหลัง ในบ่อน้ำมีปลามากมาย ตรงละแวกนั้นจะมีเด็กๆมาขายอาหารปลาเต็มไปหมด
กลับลงมาไปดูพระราชวังรัตนรังสรรค์จำลอง เดินอยู่แต่ข้างนอก แล้วก็ไปไหว้พระที่หอพระเก้าเกจิอาจารย์ พอไหว้เสร็จปุ๊ป ฝนก็ตกลงมาอย่างรุนแรง โชคดีวิ่งขึ้นรถทัน ฝนตกแรงมาก เหมือนพายุเข้า มองทางไม่เห็นเลย ตั้งใจจะขับรถไปกินข้าวเย็นที่สมยศปากน้ำซีฟู้ด ลองถามพ่อดูว่าจะขับไปรึป่าว เพราะกลัวมองทางไม่เห็น แต่พ่อก็บอกว่าไปได้ ฝนตกหนักจนกระทั่งถึงร้าน กว่าจะหยุดก็คือ ตอนที่กินอาหารเสร็จ สมยศปากน้ำซีฟู้ด อาหารก็ใช้ได้ อาหารก็สด แต่สู้ร้านท่าเรือไม่ได้ กินเสร็จกลับมาซื้อบิงซูเข้าไปนั่งกินที่โรงแรมต่อ
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ต้องไปดำน้ำที่ Cockburn ตามที่จองเอาไว้ ปรากฎว่าตัดสินใจไม่ไป เพราะไม่สบาย แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ก็กังวลเพราะนั่งเรือไปชั่วโมงนึง แถมต้องอยู่ทั้งวัน เกิดเป็นอะไรเพิ่ม คงไม่สนุก วันนี้ก็เลยเป็นวันว่างๆ เพราะไม่ได้คิดมาก่อนว่าต้องทำอะไร พอกินข้าวเช้าที่โรงแรมเสร็จ เลยกะว่าจะไปทำ Mission ตามหาอาโป้ง ต่อ ปรากฎว่าขับไปข้างธ.กรุงเทพ เจอป้าขายขนมอยู่ แต่พอถามเค้าบอกไม่ได้ทำอาโป้งตั้งนานแล้ว ขับวนไปวนมา สุดท้ายก็ไม่เจอ เลยคิดจะขับไปกินเจ้าข้างไปรษณีย์ ปรากฎว่าพอไปถึงบอกว่าหมด ทั้งๆที่มาเร็วกว่าเมื่อวาน เป็นอันว่าภารกิจไม่สำเร็จไปอีกหนึ่งวัน จากนั้นเลยคิดว่าขับไปเล่นทะเลใกล้ๆดีกว่า เลยขับไปที่อุทยานแห่งชาติแหลมสน มาถึงไม่มีคนเลย ไปสอบถามเจ้าหน้าที่บอกลงเล่นน้ำได้ในจุดที่มีธงสีเขียว ไปถึงหาดทรายละเอียด แต่ทรายไม่ขาว เป็นทรายดำๆ ถึงตอนเที่ยงตรงพอดี ไม่สนใจ 2 พ่อลูกเล่นน้ำท้าแดด วิวตรงนี้ก็สวยดี เป็นต้นสนอยู่ติดกับหาด ถ้าอยู่แต่ตรงต้นสนก็มีร่มเงา แดดไม่ร้อน พอเล่นเสร็จตรงอุทยานก็มีห้องอาบน้ำให้ สะอาด อาบได้
Search หาที่กินอาหารกลางวันโดยรอบ ก็ไม่มีเลย มีอยู่ที่เดียวห่างไป 10 กม.คือที่บ้านไร่ ไออรุณ ไปถึงด้วยความที่ไม่รู้ขนาดของอาหารเลยสั่งชุดที่เป็นชุดที่ทางร้านแนะนำมาทั้งหมด 3 ชุด เลย ชุดซีฟู้ดเล็ก ชุดน้ำพริก และชุดขนมจีน 3 อย่าง แถมยังสั่งใบเหลี่ยงมาอีก งงมากว่าทำไงน้องพนักงานไม่ห้ามปรามกันเลย แถมยังถามเหมือนจะให้สั่งเพิ่มอยู่ตลอด อาหารมาเยอะมาก แต่สุดท้ายเราสามคนก็กินหมด อาหารที่นี่รสชาติกลางๆ ถ้าตั้งใจขับมากินคงไม่คุ้ม เพราะอยู่ไกลตัวเมืองเหลือเกิน
กินเสร็จกลับเข้าโรงแรม ต้องเช็คอินโรงแรมใหม่ ต้องบอกว่าโรงแรม The Iconic ที่จองไว้มีข้อดีกว่าที่คิดไว้ คือห้องใหญ่มาก อยู่ได้สบายเลย แม้ว่าด้านนอกจะดูเป็นตึกแถว ไม่มีที่จอดรถเยอะ แถมไม่มีลิฟต์ ต้องเดินขึ้นมา 4 ชั้น แต่ด้วยความกว้าง และความน่ารักของห้องที่ตกแต่งเป็น Theme เรือ ก็ยังพอชดเชยกันได้ (แต่ยังไงก็ยังคิดว่าแพงอยู่ดี)
พวกเรานอนเล่นสักพัก ตัดสินใจขับรถไปดูวิวที่ประภาคาร หลังจากนั้นคุยกันแล้ว ทุกคนติดใจอยากกลับไปแช่ขาที่รักษะวาริน เลยมาแช่ขากันต่อ แช่ขาเสร็จคิดอยู่นาน 2 นาน ว่าจะกินร้านคุ้นลิ้นมั๊ยเพราะอยู่ตรงนั้นเลย แต่ด้วยความอิ่มเลยคิดว่าไปหาไรกินง่ายๆดีกว่าเลยมาจบที่ร้านกนกซุปเปอร์ราดหน้า ร้านนี้ขายตามสั่งทุกอย่าง มีขายกับข้าวกินกับข้าวต้มด้วย รสชาติโอเคเลย
เช้าขึ้นมา ยอมแพ้กับการทำ Mission แล้ว เลยตรงดิ่งไปซื้ออาโป้งร้านข้างไปรษณีย์เหมือนเดิม หลังจากนั้น เห็นเวลาเหลือเยอะเลยขับไปกินโรตีนิสราที่วันนั้นอดกิน เสร็จแล้วมานั่งเล่นต่อในโรงแรม รอเวลาออกไปกินอาหารเที่ยงที่ระนองโอชา ระนองโอชาถือเป็นอีกร้านหนึ่งที่รสชาติใช้ได้ มีอาหารให้เลือกหลายอย่างนอกจากติ่มซำ พอกินเสร็จปุ๊ป ก็ตรงดิ่งไปคืนรถที่สนามบินระนอง ออกเดินทางกลับด้วยเที่ยวบิน FD3141 ตอน 13.40 น. อย่างพอดีเวลา
สรุปทริปนี้ เป็นทริปที่สนุกสนาน แม้ว่าจะอดไปเกาะ Cockburn ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ การเดินทางเป็นไปอย่างสบายๆ อาหารอร่อย ไม่เร่งรีบ ซึ่งนี่อาจจะเป็นข้อดีของการมาเที่ยวในวันธรรมดา และโดยส่วนตัวรู้สึกว่าชอบระนองมาก เพราะทิวทัศน์สองข้างทางที่เป็นภูเขาสีเขียว มองแล้วสบายตา ซึ่งแน่นอนว่าคงได้กลับมาระนองอีกครั้ง เพื่อตามเก็บ Cockburn เจอกันเร็วๆนี้นะ ระนอง
Comments are closed.