5,364 m. เหนือระดับน้ำทะเล – 4

Day 13 Kathmandu

เรากลับมาถึง Hotel Pilgrims ที่กาฐมาณฑุประมาณ 9 โมงครึ่ง เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงมากินอาหารเช้าของโรงแรม ที่โรงแรมนี้มีไข่ทอดที่พวกเราติดใจ คือเค้าจะใส่พริกสด เป็นพริกชิ้นใหญ่ ไม่เผ็ด แต่หอมมาก พอเรากินเสร็จ เราตัดสินใจตรงดิ่งไปยัง KFC ที่ตั้งอยู่ในย่าน Durba Marg ด้วยความอยากกิน เพราะไม่ได้กินเนื้อสัตว์มากว่า 10 วัน โดยก่อนไปเราซื้อผ้าปิดปากคนละผืน เพื่อใช้ใส่ป้องกันฝุ่น เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในกาฐมาณฑุนี่ฝุ่นเยอะมาก ไม่รู้เป็นเฉพาะหน้าที่เรามา หรือเป็นยังงี้เป็นประจำอยู่แล้ว KFC ที่นี้ รสชาติมาตรฐาน แต่มีเมนูนึงบอกเป็นไก่ย่างปรุงรสตามสไตล์ของที่นี่ รสจะออกเค็มและเผ็ด อร่อยดี หลังจากกินเสร็จเราก็เดินเล่นแถวย่าน Durba Marg แถวนี้ดูจะมีร้านค้าที่เป็นแบรนด์ฝรั่งที่พวกเราคุ้นเคยอยู่หลายร้าน แต่ลักษณะร้านจะออกดูเป็นแนวเก่าๆโบราณๆนิดนึง เราแวะกินกาแฟที่ Himalayan Java แบรนด์เดียวกันที่เรากินตอนอยู่ที่ Namche Bazaar รสชาติกาแฟและบรรยากาศร้านดีเหมือนดิม หลังจากนั้น เรานั่ง Search หาที่เที่ยวว่าจะไปไหนดี ต้องบอกก่อนว่าเราสองคนไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนเลยว่าที่กาฐมาณฑุมีอะไรน่าสนใจบ้าง สุดท้ายตัดสินใจตกลงกันได้ว่าจะไปที่ Bhaktapur เราเลือกไปกันที่นี่ เพราะเห็นว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆที่พักเรา คิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้มีเวลาค่อยไปเที่ยวสถานที่ใกล้ๆ เราสอบถามพนักงานที่ร้านกาแฟว่าไปยังไง เค้าแนะนำให้เราขึ้นรถเมล์ไป บอกเราว่านั่งรถไปประมาณ 1 ชั่วโมง โดยชี้ทางให้เราเดินไปที่ Bhaktapur Bus Park ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก ประมาณ 5 นาทีก็ถึง พอเราเดินไปถึง ก็ไม่รู้ว่าจะต้องขึ้นคันไหน เราไปบอกกระเป๋ารถเมล์ว่า Bhaktapur เค้าก็เรียกให้ขึ้นรถเลย โชคดีที่ขึ้นมานั่งเร็วเราสองคนเลยได้ที่นั่ง รถเมล์ที่นี่ขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาณรถเมล์เขียวบ้านเรา ที่นั่งค่อนข้างเล็ก นั่งเบียดกันนิดหน่อย จอดรอไม่นานคนก็มาขึ้นเต็ม หลังจากนั้นรถก็ออก การนั่งรถเมล์ที่นี่ดูเป็นความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่รถค่อนข้างแน่น คนขึ้นลงตลอดเวลา รถกระแทกไปมาจากถนนหนทางที่ค่อนข้างขรุขระ เสียงบีบแตรดัง เคล้ากับเสียงเพลงแขกที่คนขับรถเปิด ทำให้รู้สึกปวดหัวไม่น้อย จริงๆระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก แต่ด้วยความที่รถค่อนข้างติด และรถเมล์ก็จอดถี่มาก เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง ประมาณบ่าย 3 โมงกว่าก็ถึง Bhaktapur  โชคดีที่เราซื้อ Sim card ของ Ncell ไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ทำให้เราสามารถดู Google Maps ควบคู่ไปได้ เลยรู้ว่าต้องลงจากรถตอนไหน

พอลงจากรถเหมือนเข้าสู่เมืองอีกเมืองนึง ทุกอย่างดูแปลกตา อาคารส่วนมากในบริเวณนี้ก่อด้วยอิฐสีส้ม ระหว่างทางที่เดินเราเห็นคนขาย King Curd กันเยอะมาก มันเป็นโยเกิร์ตที่ใส๋อยู่ในถ้วยปั้นดินเผา มีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าถ้วยน้ำจิ้ม ไปจนถึงขนาดใหญ่เป็นชาม จำได้ว่าเคยเห็นตอนดูในสารคดี เลยขอซื้อมาชิมสักหน่อย รสชาติอร่อยดี

เดินตามทางเข้าไปเรื่อยๆจนถึงที่ขายตั๋ว ค่าเข้าตกคนละ RS1,500 ที่นี่คนที่อยู่ในกลุ่มประเทศ SAARC จะได้รับส่วนลดในการเข้าชมในสถานที่ต่าง แม้กระทั่งตอนไปเทรคกิ้ง เหมันต์ก็จ่ายค่าทัวร์ถูกกว่าคนอื่นๆ เมื่อเข้ามาสู่ที่ประตู ก็มีคนเดินมาคุยกับเรา ท่าทางเรียบร้อย บอกว่าจะขอมาเป็นไกด์ให้ เหมือนไกด์ผีในเมืองไทย โดยบอกว่าจะคิดเรา RS1,000 เราก็เลยตกลง ซึ่งพอจบทัวร์เราสองคนคิดว่ามันคุ้มค่า เพราะเค้าพาเราเดินไปจุดต่างๆที่สำคัญพร้อมอธิบายเรื่องราวให้ ถ้าเราเดินกันเองคงเปะปะน่าดู เพราะที่ค่อนข้างกว้างใหญ่

เริ่มแรกไกด์อธิบายให้เราก็ว่าพื้นที่นี้อยู่ระหว่างการบูรณะ เพราะได้ความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2015 โดยอาคารและจุดสำคัญต่างๆในที่นี้มีทั้งใช้ซากอิฐและหินของเดิมมาทำใหม่ กับเอาอิฐและหินของใหม่มาซ่อมแซมให้สมบูรณ์ เมื่อเราเดินผ่านเข้าประตูมาจะพบพระราชวัง วิหาร วัด อยู่รายล้อมเต็มไปหมด เริ่มแรกไกด์พยายามเล่าถึงประวัติของสถานที่แห่งนี้ให้ฟัง เราก็ฟังกันเพลินๆจนตอนนี้ก็จำกันไม่ได้ล่ะ จุดต่างๆที่ไกด์พาไปดูแล้วพอจำเรื่องราวได้ ก็จะเริ่มต้นที่จุดแรก เราเดินผ่าน National Museum ซึ่งอันนี้จะต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม ไกด์บอกว่าอันนี้ไม่ต้องเข้าก็ได้ เค้าเป็นจิตรกร เดี๋ยวเค้าจะพาไปที่โรงเรียนของ Master เค้าที่เราจะได้ชมการวาดภาพแบบ Thangka ฟรีแบบไม่เสียค่าเข้าชม เราก็เออๆออๆ ในใจก็รู้สึกตะหงิดๆคิดว่าเดี๋ยวจะต้องมีการขายของแน่ หน้า National Museum ไกด์ชี้ให้เราดูรูปปั้นของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ผู้มีหน้าที่ปกปักรักษาดูแลทั้ง 3 โลก อยู่ในร่างอวตารมาเป็นครึ่งคนครึ่งสิงโตเพื่อมาปราบยักษ์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนบนโลกและไม่มีใครปราบได้ เนื่องจากได้รับพรจากพระพรหมให้เป็นอมตะ

จุดต่อไปคือ รูปปั้นของกษัตริย์ที่เคยเป็นผู้ปกครอง Bhaktapur และป็นผู้สร้างสถาปัตยกรรมต่างๆใน Bhaktapur รวมไปถึง 55 Window Palace ซึ่งก่อนจะผ่านเข้าไปถึง 55 Window Palace ก็จะผ่านประตูทอง ที่เป็นที่ขึ้นชื่อในแง่ของความสวยงาม ล้อมรอบด้วยงานแกะสลักรูปเทพและสัตว์ในตำนานต่างๆ โดยตรงกลางจะมีเทพที่เชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองกษัตริย์ มี 4 หัว 10 มือ เมื่อผ่านเข้าไปจะพบกับ 55 Window Palace ซึ่งเป็นพระราชวังที่มีหน้าต่างไม้แกะสลัก 55 บานรายล้อมอยู่ ไกด์บอกเราว่าในปัจจุบันยังมีการใช้สถานที่แห่งนี้ในงานสำคัญๆ เดินผ่านเข้าไปจะมีส่วนที่เป็นวัดที่ให้เฉพาะชาวฮินดูเข้า และทะลุไปถึงส่วนอาบน้ำของกษัตริย์ โดยมีนาคหินแกะสลักรายล้อมอยู่ เพื่อปกป้องรักษา ออกมาจะเจอกับระฆัง ซึ่งอยู่หน้าวิหารหนึ่งที่ถูกทำลายไปโดยแผ่นดินไหว แต่ระฆังนี้ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่ โดยสมัยก่อนระฆังนี้จะใช้เพื่อตีบอกเวลาในการสวดมนต์ของวัดด้านในในตอนเช้ากับตอนเย็น เดินต่อมาจะพบกับตึกอีกหลังหนึ่ง ตึกนี้จะมีความโดดเด่น คือ แต่ละเสาจะเป็นท่ากามสูตรต่างๆ

ไกด์พาเราเดินลัดเลาะ ตรอกซอกซอยจนมาโผล่เจอผู้คนเต็มไปหมด เราถึงได้รู้ว่ามีตอนนี้กำลังมีงานเทศกาลเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวเนปาล โดยเทศกาลนี้มีชื่อว่า Bisket Jatra โดยจะมีการดึงรถลากที่มีรูปปั้นเทพเจ้าไปตามรอบเมือง เพื่อลงไปที่จัตุรัส และจะมีการดึงเสาไม้ที่วางนอนอยู่ให้ตั้งขึ้นตามความเชื่อโบราณ เราเดินผ่านรถลากคันแรกที่เตรียมไว้สำหรับการประกอบพิธี ซึ่งไกด์บอกว่าเป็นรถลากของเด็ก และบอกพวกเราว่าให้เตรียมไปดูรถลากอันใหญ่ ไกด์บอกว่าเค้าน่าจะเริ่มลากรถกันตอนประมาณ 4 โมง เราสองคนรู้สึกโชคดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะได้มาเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลท้องถิ่นนี้ หลังจากนั้นไกด์พาเราเดินต่อไปยังโรงเรียนสอนศิลปะที่เค้าพูดถึงในตอนแรก พอเข้าไปก็สัมผัสได้ทันที ว่าโดนหลอกขายของแน่นอน เค้าแนะนำให้เรารู้จักกับ Master ซึ่งเป็นผู้อธิบายเกี่ยวกับการวาดภาพ Thangka ตั้งแต่การเตรียมผ้าใบ ผสมสี การวาด เทคนิคการลงสีอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็โชว์รูป Thangka ประเภทต่างให้ดู ซึ่งจะเป็นการวาดเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา รูปแบบที่เราชอบกันคือ Mandala จะเป็นการวาดรูปแบบมีลักษณะเป็นจุดศูนย์กลางแล้วแผ่ขยายออก โดยเค้าอธิบายว่าแต่ละชั้นจะเสมือนการเดินไปสู่นิพพาน จนมาถึงจุดสุดท้ายเค้านำรูปภาพมาเปิดให้เราดูหลายรูป แต่ละรูปก็มีลักษณะหลายๆแบบ เค้าเริ่มถามว่าเราชอบแบบไหน ลักษณะสีอะไร ซึ่งก็ชัดเลย ว่ากำลังพยายามขายของจริงๆ ทีนี้เทคนิคการขายของเค้าคือ เค้าจะเปิดให้ดูรูปที่สวยๆก่อน และก็เปิดให้ดูรูปที่สวยน้อยกว่า สอนให้เราดูว่าอันที่สวยทำไมถึงสวย เช่นเส้นคมกว่ายังไง บอกว่าอันที่สวยคือวาดโดย Master แต่อันที่สวยน้อยกว่าคือวาดด้วยนักเรียน ทีนี้ราคาของอันที่เป็น Master ก็จะสูงกว่าตามความสวยไปด้วย หลังจากที่เราโดนกล่อมมาพักใหญ่ ก็เกิดความอยากได้ ทั้งๆที่ไม่รู้จักภาพวาดประเภทนี้มาก่อน เราดูไปดูมายังไงก็ทำใจซื้ออันที่ราคาถูกไม่ลง เพราะอันที่ราคาแพงสวยกว่าเยอะ เค้ายังเน้นด้วยว่าอันนี้เป็นโรงเรียน ภาพวาดของเค้าถูกต้องตามหลักทุกประการ ประกอบกับวาดลงบนผ้า ต่างจากที่ขายข้างนอกที่เป็นกระดาษ และเงินที่ซื้อ ก็จะเข้าโรงเรียน เป็นทุนการศึกษาต่อให้กับนักเรียนด้วย สุดท้ายเราเลือกรูปที่เราชอบได้ เค้าบอกราคามาเกือบหมื่นบาท สุดท้ายเราต่อเค้าเหลือประมาณ 3,000 บาท เค้าลังเล และดูไม่ค่อยพอใจ แต่เราก็บอกว่าเรามีงบประมาณเท่านี้จริงๆ สุดท้ายเค้าก็ยอมขายให้ เราก็เลยได้รูปกลับบ้านมาแบบไม่รู้ตัว และไม่รู้ว่าโดนหลอกรึป่าว แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะรูปที่ได้มาก็สวยถูกใจ พร้อมเอาไปเป็นของฝากให้คุณแม่

ไกด์พาเราเดินมาส่งที่จุดสุดท้าย คือ Nyatapola Temple เป็นวิหารที่มีความสูง 5 ชั้น ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในบริเวณนี้ โดยทางขึ้นวิหารจะถูกปกป้องด้วยรูปปั้นต่างๆ รูปคนจะอยู่หน้าสุด ถัดไปจะเป็นรูปช้างซึ่งเชื่อว่ามีความแข็งแกร่งเหนือกว่าคน 10 เท่า และยิ่งสูงขึ้นไปสัตว์ที่เฝ้าก็จะมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไกด์ชี้ให้ดูว่ารูปทรงของวิหารนี้ คล้ายกับรูปธงชาติเนปาล พอไกด์ชี้ให้ดู เราสองคนก็รู้สึกว่าเหมือนจริงๆ ไกด์บอกเราว่าทัวร์ได้จบลงแล้ว แล้วชี้ทางเดินให้เราเดินไปดูรถลาก แล้วจากไป

เราสองคนเดินไปตามที่ไกด์บอกก็ได้พบกับรถลากขนาดใหญ่ เราเดินไปเดินมาอยู่รอบๆรอว่าเมื่อไหร่การลากรถจะเกิดขึ้น ยิ่งรอ คนยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนเดินมาจากทุกสารทิศ มีทั้งคนท้องถิ่นและคนต่างชาติ สุดท้ายเราก็ได้จุดยืนดู ที่อยู่เหนือขึ้นไปจากพื้นถนน ทำให้เราค่อนข้างจะเห็นเหตุการณ์รอบๆได้อย่างชัดเจน รออยู่นาน ก็มีขบวนพาเหรดเล่นเครื่องดนตรีเดินผ่านไป ตามด้วยตำรวจอีกชุดใหญ่ ตอนนี้คนมาเต็มพื้นที่ บรรยากาศดูคึกคักมาก แต่ส่วนนึงก็มีความน่ากลัวอยู่ เพราะคนเยอะมากจนดูเหมือนจะเกิดจลาจล สักพักพิธีก็เริ่มขึ้น มีคนแต่งชุดใส่ชุดขาวสวมหมวกแดงปีนขึ้นนั่งบนรถรอบๆ พร้อมกับคนใส่เสื้อแดงนั่งอยู่ตรงกลาง เมื่อทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย ชาวบ้านก็แหวกทาง กลุ่มผู้ชายมารวมตัวกันเพื่อดึงเชือกที่ลากรถอยู่ ต้องเย่อกันอยู่พักใหญ่รถถึงยอมเคลื่อนตัว เราสองคนเดินตามฝูงชน ตามรถที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ รถลากเคลื่อนตัวไปได้แป๊ปนึงหลังคาก็ไปติดอยู่กับหลังคาบ้าน ทำให้ขยับไม่ได้ ชาวบ้านช่วยกันโยก ดันกันอยู่พักใหญ๋จนกระทั่งรถขยับได้อีกทีนึง ทีนี้รถเริ่มไปได้เร็วเพราะทางลาดลง ฝูงชนเยอะเบียดเสียด จนเรารู้สึกตัวเหมือนโดนล้วงกระเป๋า แต่โชคดีที่เอาไปไม่ได้ เราสองคนเลยตัดสินใจไม่ตามรถลงไป แล้วเดินไปที่จุดอื่นแทน

เดินไปเดินมา ตามตรอกซอกซอย แบบไม่รู้ทิศทาง ใช้วิธีเดินตามคนมั่วๆเอา สุดท้ายก็หลุดมาถึงจัตุรัสที่จะมีการตั้งเสา คนรออยู่เต็มไปหมด มีร้านขายอันนึงที่ดูแปลกตามา แต่ไม่แน่ใจว่าคืออะไร และไม่กล้าลองกินด้วย คือคนขายจะยืนคล้องกล่องอันนึง ภายในกล่องจะมีเครื่องปรุงอยู่หลายอย่าง คนขายเค้าจะเอาใบไม้ขึ้นมาวาง แล้วค่อยๆเปิดกล่องเอามือหยิบเครื่องปรุงเป็นสิบๆอย่างใส่ลงไป ถ้าใครอยากซื้อก็คือเดินมาถึงแล้วก็รวบใบไม้เข้าปากเลย รอกันอยู่พักใหญ่รถลากก็ยังลงมาไม่ถึง เราสองคนอยากอยู่รอจนรถลงมาถึง และดูพิธีต่อ แต่เวลาก็ใกล้จะหมด เพราะเรามีนัดตอน 1 ทุ่มต้องกลับไปเจอกับกรุ๊ปทัวร์ของเรา เนื่องจากเป็นคืนส่งท้าย และทางทัวร์ได้เตรียมจัด Farewell Dinner ไว้ให้ เรารอจนถึงประมาณ 5 โมงครึ่ง ก็ยังไม่มีวีแววของรถลาก เราจึงตัดสินใจกลับ ขากลับนี่เป็นอะไรที่ลำบากสุดๆ ด้วยความที่เราไม่รู้ทิศทาง ก็เลยเดินมั่วออกมา พยายามหาทางที่เป็นถนนใหญ่ พอมาถึงถนนใหญ่ ดูเป็นฝั่งที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มีแต่คนท้องถิ่น ยื่นรอก็ไม่มีแท๊กซี่ผ่านมาเลย เห็นแต่รถเมล์ เราสองคนเดินไปหาตำรวจบอกว่าจะกลับไปที่ Thamel ถ้ารถเมล์คันไหนไปได้ให้ช่วยบอก แต่เหมือนทั้งตำรวจและคนแถวนั้นไม่มีใครฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง เราก็พยายามพูดแต่ชื่อ Thamel รถเมล์หลายคันผ่านมา ตำรวจโบกมือบอกว่าไม่ใช่สักคัน รออยู่เป็นเกือบ 20 นาที มีแท็กซี่โผล่มา เราสองคนรีบเรียก โชคดีที่เค้าไป และเรากลับมาได้ทันตามเวลาที่กรุ๊ปนัดไว้

คืนนี้ท้วร์พาเราไปเลี่้ยงที่ร้านอาหารชื่อ Black Olives เป็นร้านอาหารฝรั่ง อาหารและเครื่องดื่มมื้อนี้รวมอยู่ในค่าทัวร์แล้ว เราทุกคนสั่งสเต็คมากินกันพร้อมไวน์และเบียร์ อาหารอร่อย บรรยากาศดี มีดนตรีสดเล่นด้วย และเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกับ David ผู้อยู่เบื้องหลังการตอบเมล์มาตลอด ที่ตลกคือทุกคนในกรุ๊ปมีความเห็นตรงกันว่า หน้าเหมือนปวกเปียก หรือ Luke ยังกะพ่อลูก เลยแซวกันว่าเป็น Luke’s dad ตลอดทั้งคืน หลังจากนั้นเราตกลงกันว่าจะไปนั่งเล่นกันต่อที่ Everest Irish Pub ที่อยู่ใกล้ๆโรงแรม พอเข้าไปถึง Marcus ก็ท้าว่า เค้ารู้หมดว่าคนไหนเป็นคนไอริช คนไหนไม่ใช่ เราก็เลยเล่นเกมส์กับ Marcus โดย Marcus บอกให้เราชี้คนมาคนนึง แล้วทายกันว่าเป็นไอริชรึป่าว พอเราเลือกได้คนนึง ก็มาทายกันแล้ว Marcus เสนอตัวเข้าไปถามคนคนนั้นเอง แต่ก็ต้องคอตก ยิ้มเจื่อนกลับมา เพราะ Marcus ทายผิด เลยต้องเสียเงินเลี้ยงเหล้า 1 แก้ว ยืนๆนั่งๆอยู่ในร้านไม่มีไรจะคุยเพราะแค่ลำพังตอนธรรมดาเราก็แทบจะฟังสำเนียงชาวไอริชกับอังกฤษไม่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่แล้ว นี่อยู่ในผับเสียงเพลงดังๆยิ่งไปกันใหญ่ เราเลยนึกเกมส์ขึ้นมาได้อีกเกมส์ คือ 5-10-15 ที่เคยเล่นตอนเด็ก ตอนเริ่มสอน ทุกคนก็งงมาก ว่านี่เกมส์อะไร เข้าใจยากจัง แต่ท้ายที่สุดทุกคนก็เข้าใจ แต่มีคนนึงที่อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ คนนั้นคือ เจ้าเก่า Marcus นั่นเอง จนไอ้โย่งผู้สื่อสารภาษาเดียวกันต้องมาอธิบายอีกที แต่ Marcus ก็ยังทำหน้าเควสชั่นมาร์คต่อ ขนาดคนนั่งโต๊ะข้างๆเป็นชาวอิสราเอลได้ยินเราอธิบายห่างๆ ยังเข้าใจเอาไปเล่นกันเองในโต๊ะเค้าเองต่อ จากนั้นเรานั่งคุยเล่นกันอยู่นาน Dale ดูเมามาก และเป็นคนที่เมาแล้วก็ชอบเลี้ยงเหล้าคนแปลกหน้า ด้วยลักษณะซ่าๆ อยู่ไปอยู่มาจนเกือบจะมีเรื่องหลายครั้ง ไปชนโต๊ะคนอื่นเบียร์หกแต่ไม่ขอโทษ Marcus ต้องเรีบเข้าไปเคลียร์ เราสองคนเลยคิดว่ากลับกันดีกว่า ออกมาดูเวลาก็เกือบจะตี 1 เราเดินกลับโรงแรม และก็เข้านอน

 

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!

Comments are closed.