Day 14 Kathmandu
เช้าวันนี้ตื่นมา ชักโครกโรงแรมน้ำไม่ไหล แถมมีมดมาเดินอยู่เต็มห้อง เหลืออีก 1 คืนที่ต้องค้างอยู่ในกาฐมาณฑุ รู้สึกไม่อยากอยู่โรงแรมนี้แล้ว เพราะเริ่มอยากอยู่สบายๆ และไม่อยากอยู่ในย่าน Thamel ด้วย เลยเริ่ม Search หาโรงแรมใหม่ สุดท้ายตัดสินใจ ยอมเสียเงิน 8,000 บาท เพื่อไปเข้าพักที่ Hyatt Regency ต้องบอกก่อนว่าที่ตัดสินใจไปหาโรงแรมดีๆอยู่อาจเพราะว่าเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับความวุ่นวายของที่นี่แล้ว คงเพราะตั้งแต่ออกไปเที่ยวเล่นเมื่อวาน มีแต่ความวุ่นวาย รวมถึงถนนหนทางที่สกปรกไปด้วยฝุ่น ประกอบกับโรงแรมเดิมที่มีสภาพแค่พออยู่ได้ตามราคาที่คืนละ 500 บาท เราคิดกันไว้ว่าหลังจากเช็คอินที่ Hyatt แล้วจะไม่ออกจากโรงแรมอีก จะอยู่พักนอนให้สบายๆด้วยบรรยากาศสงบๆ เพราะโรงแรมใหม่นี้เป็นเหมือนรีสอร์ทมีพื้นที่เป็นของตัวเอง แต่ถึงเราจะจองแล้วก็ยังไปเข้าพักไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลา Check-in เราโทรไปถามก็ยัง Early check-in ไม่ได้ เพราะยังเต็มอยู่ เราเลยตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวเล่นข้างนอกต่อ หลังจากลงไปกินไข่ทอดที่เราชอบเรียบร้อย ก็ขึ้นรถแท๊กซี่เพื่อไปยัง Monkey Temple หรือ Swayambhunath แท๊กซี่ที่นี่ไม่มีมิเตอร์ เป็นการต่อรองเอา เค้าบอกมาเท่าไหร่ เราก็จะต่อลงไปอีกนิดหน่อย เพราะก่อนจะเรียกเราก็ได้ถามราคาคร่าวๆจากที่โรงแรมไว้แล้ว
Monkey Temple นี้ ถือเป็นวัดแบบพุทธ เมื่อเราไปถึงก็พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด นั่นก็คือการเดินขึ้นบันได เราสองคนไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะต้องเดิน ด้วยความที่ตอนนี้สุดแสนจะขี้เกียจ แต่จะทำยังไงได้ พอมาถึงแล้วก็ต้องแข็งใจเดินขึ้นสู่ด้านบน บันไดที่นี่ค่อนข้างชัน และเล็ก ระหว่างทางจะมีลิงห้อยโหนหรือนั่งอยู่ตลอดสองข้างทาง วันนี้คนท้องถิ่นค่อนข้างจะเยอะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเป็นวันปีใหม่รึป่าว เมื่อเดินถึงยอดก็จะเห็นสถูปสีขาว ที่มีรูปดวงตาวาดอยู่ที่ด้านบนทั้ง 4 ด้าน ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ สถูปนี้เชื่อกันว่าสร้างมานานกว่า 2,000 ปี ด้านบนสามารถเดินเล่นได้รอบๆ เมื่อมองลงมาจะเป็นเป็นวิวของตัวเมือง
หลังจากนั้น เรานั่ง Taxi กลับมาที่ Thamel ตั้งใจว่าจะมาหาอะไรกิน และเตรียมตัว Check-out เราเดินหาของกินที่ Thamel ระหว่างนั้นเดินผ่าน Pilgrims Book House เลยแวะเข้าไป ตั้งใจว่าจะไปหาแผนที่เส้นทาง EBC ไว้เป็นที่ระลึก สุดท้ายเข้าไปได้ของกลับออกมากหลายอย่าง และเจอหนังสือนิทาน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อทริป Yaknakgoonatrek ของเรา
เราเดินมาจนเจอร้านอาหารชื่อ OR2K เป็นร้านอาหาร Middle East อาหารที่นี่รสชาติดีมาก มี Jachnon ที่เป็นของที่เราไม่เคยกิน คือเป็นแป้งที่หมักเอาไว้ข้ามคืน กินกับมะเขือเทศสดและไข่ หลังจากกินอาหารเสร็จเราก็กลับโรงแรม Check-out และมุ่งสู่ Oasis ของเราที่โรงแรมใหม่
เมื่อเหยียบมาถึงโรงแรมก็รู้สึกว่าถึง Oasis แล้วจริงๆ ทุกอย่างดูเงียบ สงบ สะอาด เหมือนอยู่คนละประเทศเลย เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจมาก ตลอดครึ่งวันที่เหลือเลยใช้เวลาอยู่ในโรงแรมไม่ออกไปไหน
ตอนช่วง 4 โมงเย็น โรงแรมมีของว่างให้กินฟรีด้วย ของกินเยอะมาก มีทั้งของคาว ของหวาน เครื่องดื่มครบครัน แอบรู้สึกพลาดที่ไปจองกิน Buffet เอาไว้ในช่วงเย็น ตรงที่นั่งเล่นมี Bagh Chal เป็นเกมส์ท้องถิ่นของเนปาล โดยผู้เล่นฝั่งนึงจะเป็นเสือที่มีอยู่ 4 ตัว ต้องไล่ต้อนกินอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นแพะทั้งหมด 20 ตัว เล่นอยู่พักนึง ก็ถึงเวลานัดทำสปา เรานวดหน้ากับนวดตัว การนวดหน้านี่ช่วยมากเลย ตอนที่ลงมาจากเขา หน้าแห้ง เป็นขุยๆทั้งหน้า หลังนวดเสร็จนี่ชุ่มชื้น ดีขึ้นเยอะเลย
ช่วงอาหารเย็นเราเลือกกิน Buffet ที่ห้องอาหารของโรงแรม เราเลือกกินทุกอย่าง อย่างละนิดอย่างละหน่อย มีของที่รู้จักบ้างและไม่รู้จักบ้าง
Day 15 Kathmandu to Bangkok
เช้าตื่นมากินบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่โรงแรม มีของให้เลือกเยอะมาก ทั้งอาหารท้องถิ่น และอาหารฝรั่ง เราเลือกกินอย่างละนิดอย่างละหน่อยเหมือนเคย
หลังกินข้าวเสร็จ รู้สึกว่าเริ่มมีอาการท้องเสีย สงสัยจะเกิดจากที่เมื่อวานกินของเผ็ดๆเยอะไปหน่อย โดยเฉพาะของเครื่องเคียงที่กินกับ Papad ทั้งเผ็ด ทั้งเป็นของดอง อาการโดยรวมค่อนข้างจะแปลกๆ ไม่เหมือนกับอาการท้องเสียที่เคยเป็น คือเข้าห้องน้ำแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นรู้สึกผะอืดผะอม แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เรายอมแพ้ที่จะออกไปสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวต่อ เราเลือกไปที่ Boudhanath Stupa ซึ่งเป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล เพราะอยู่ใกล้โรงแรมแบบสามารถเดินไปถึง ตอนเดินไปฝนลงเม็ดเล็กน้อย ลักษณะก็เหมือนกับสถูปที่อยู่ที่ Monkey Temple เลย ที่นี่มีเขียนอธิบายถึงสัญลักษณ์ต่างๆบนสถูป เช่น ดวงตา 2 ดวง หมายถึง การตระหนักรู้ สัญลักษณ์ที่เหมือนจมูก คือการเข้าถึงนิพพาน ตอนที่เรามาเป็นตอนเช้าประมาณ 7 โมง มีชาวท้องถิ่นจำนวนมาก มาเดินเวียนอยู่รอบสถูปนี้ ดูคึกคักทีเดียว หลังดูเสร็จ เราสองคนเดินกลับโรงแรม ไปจัดของเพื่อเตรียมตัวไปสนามบิน
พอจัดของเสร็จ ก็เห็นว่าเวลายังเหลือ เลยคิดกันว่าไปเที่ยวต่อดีกว่า อาการป่วยยังทรงๆอยู่ เราขอให้โรงแรมช่วยเรียกแท๊กซี่เพื่อไปที่ Pashupatinath Temple โชคดีที่มีรถของโรงแรมกำลังจะออกไปเพื่อไปรับคนที่สนามบิน และผ่านทางนั้นพอดี เค้าเลยให้เราติดรถไปลงที่นั่น Pashupatinath Temple เป็นวัดของศาสนาฮินดู ดังนั้น ทุกอย่างจะดูแปลกตากว่าวัดที่เราเคยเห็นกันทั่วไป ทางเดินเข้าวัดที่นี่ค่อนข้างจะสกปรก มีกลิ่นเหม็นท่อและขยะโฉยมาตลอด ด้วยความที่ผะอืดผะอมอยู่แล้ว พอได้กลิ่นรู้สึกอยากจะอ้วกทันที โชคดีที่ไม่อ้วกออกมา เราเดินไปถึงทางเข้า พอซื้อตั๋วเสร็จ ก็มีคนแก่คนนึงเดินเข้ามาหาเราบอกว่าจะพาไปเดินดูวัด เราก็ตกลงเดินไปด้วย เค้าเล่าให้ฟังว่าที่นี่เป็นที่สำหรับบูชาพระศิวะ จริงๆพระเจ้าตามศาสนาความเชื่อฮินดูที่มีเป็นล้านๆองค์ อยู่ที่ว่าผู้นับถือจะบูชาองค์ไหน วัดแห่งนี้ ตั้งอยู่โดยมีแม่น้ำ Bagmati ซึ่งถือว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูเหมือนกับแม่น้ำคงคาพาดผ่านตรงกลาง ไกด์บอกว่าเราโชคดีมากที่มาถึงวันนี้ เพราะว่ามี Festival อยู่ เราก็ไม่รู้หรอกว่าเทศกาลอะไร จุดแรกที่ไกด์ชี้ให้ดูคือเตาเผาที่อยู่ตรงริมแม่น้ำ เราถามไกด์ว่ากำลังเผาอะไรอยู่ ด้วยความที่ไม่รู้ เรานึกว่ามีงานเทศกาลเฉลิมฉลองวันปีใหม่ ก็คงจะปิ้งสัตว์เพื่อเอาไว้กินภายในงาน ปรากฎว่าไกด์บอกว่ากำลังเผาศพคนอยู่ เราสองคนมองหน้ากันตกใจมาก สรุป Festival ที่ไกด์พูดถึงนี่ คือที่วัดกำลังมีการจัดงานศพพอดี
ไกด์อธิบายระหว่างพาเราเดินข้ามผ่านสะพานว่า กำลังพาเราเดินข้ามผ่านจากฝั่งที่เป็นความตายไปสู่ฝั่งการเกิด ที่ฝั่งการเกิดนี้ จะมีเป็นเหมือนห้องเล็กๆเรียงรายอยู่ เมื่อมองเข้าไปจะเห็นเป็นโยนี กับ ศิวลึงค์ ไกด์บอกว่าชาวฮินดูจะนิยมมาที่นี่เพื่อขอลูก โดยแต่ละครอบครัวที่มาจะเข้ามานั่งในห้องสีเหลี่ยมนี้ เมื่อทำพิธีสวดขอลูก ที่ฝั่งนี้ เราได้พบเจอกับ Sadhu หรือนักพรตชาวฮินดูอยู่กลุ่มนึง โดย Sadhu จะไว้หนวด ไว้เครา บ้างคนโพกผ้า ห่มตัวด้วยผ้าสีเหลือง สีส้ม หรือบางคนใส่แค่ผ้าคาดเป็นกางเกง ไกด์บอกว่าพวกนี้บางคนจะมีการทรมานตนในรูปแบบต่างๆ เช่นหน้าหนาวแล้วไม่ใส่เสื้อผ้า อยู่ถ้ำ อาบน้ำเย็น ไม่กินข้าว การถ่ายรูป Sadhu ที่นี่จะต้องเสียเงินให้กับ Sadhu ด้วย
จากฝั่งของการเกิด มองข้ามแม่น้ำมาอีกฝั่งจะเห็นเป็นวิหาร หลังคาสีทองๆ ไกด์บอกว่าเฉพาะชาวฮินดูเท่านั้น ถึงจะเข้าไปข้างในวิหารได้ มองลงมาด้านล่างของวิหารมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด เพราะเค้ากำลังจัดงานศพกันอยู่ อันนี้เราเห็นศพคนนอนคลุมด้วยผ้ามีเท้ายื่นออกมาเลย โดยพิธีจะต้องนำศพลงไปล้างในแม่น้ำด้านหน้า หลังจากนั้นจะมีการสวดทำพิธี และนำไปเผาที่เตาเผาที่เราเห็นกันตอนแรก จากนั้นก็จะนำเถ้ากระดูกมาโปรยที่แม่น้ำ ไกด์ดูเหมือนจะพาเราเดินไปดูนู้นนี่ต่อ แต่เราต้องขอแยกจากลากลับไกด์แล้วเพราะใกล้จะถึงเวลา ไกด์เรียกเก็บเงินค่าไกด์เราให้ไปคนละ RP1,000 เท่ากับไกด์คนแรก แต่เค้าบอกว่าไม่พอ ต้องให้เค้าเพิ่ม เราไม่ได้อยากมีเรื่องอะไร ก็เลยให้ไปตามที่เค้าขอ RP2,000 นี่ก็เป็นข้อเสียของการที่ไม่ตกลงราคากันตั้งแต่ที่แรก
ออกจากวัดมาเรากลับโรงแรมเพื่อไปเก็บของและ Check-out รถของโรงแรมพาพวกเรามาส่งที่สนามบินกาฐมาณฑุ เพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน เดินผ่านร้านขายของที่ระลึกที่มีอยู่แค่ 2 ร้าน ก็เลยซื้อโปสการ์ดเขียนส่งถึงตัวเอง แต่ทางร้านไม่รับส่ง โชคดีที่สนามบินมีไปรษณีย์อยู่ คนรับโปสการ์ดรับเหมือนขอไปที และไม่ได้ติดแสตมป์ให้พวกเราเห็นด้วย ยังคิดอยู่เลยว่าคงมาไม่ถึง แต่สุดท้ายโปสการ์ดก็ส่งมาถึงบ้าน
พอเข้าไปนั่งรอ รู้สึกถึงความไม่สบาย ครั่นเนื้อครั่นตัว คิดว่าตัวคงเริ่มร้อนแล้ว ยาทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าที่โหลดเข้าไปแล้ว มองหาร้านยาก็ไม่มี เห็นคนไทยนั่งอยู่หลายกลุ่ม เลยเดินเข้าไปถามว่าใครมียาแก้ไข้บ้าง ด้วยความมีน้ำใจเลยได้ยามาช่วยชีวิต ระหว่างนั่งรอเครื่องบิน มีเสียงประกาศตลอดว่าเที่ยวบิน TG320 มีใครจะยอมสละที่นั่งบ้าง เพราะเครื่อง Overbooking โดยจะมีโรงแรมให้พักฟรี เราสองคนมองหน้ากัน แต่ก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าไม่เอา เพราะอยากจะกลับบ้าน เรานั่งรออีกพักใหญ่ก็ประกาศขึ้นเครื่อง เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบิน 3 ชั่วโมงครึ่งที่ยาวนานที่สุด เรามีอาการไม่สบาย หนาวสั่นอยู่บนเครื่องบิน แต่อย่างน้อยก็เดินทางสวัสดิภาพกลับมาถึงกรุงเทพฯประมาณ 6 โมงกว่า
และแล้วทริปก็เดินมาถึงจุดจบ เรารู้สึกดีใจที่ได้ไป ทริปนี้มีประสบการณ์แปลกใหม่เกิดขึ้นมากมาย ได้เจอมิตรภาพระหว่างทางที่ดีๆ ได้รู้ว่าคนที่ไปด้วยกันเป็นห่วงและดูแลเราดีแค่ไหน ขอบคุณที่ไปเที่ยวด้วยกันนะ
Comments are closed.