After Typhoon Jebi

และแล้วการเดินทางที่ลุ้นอยู่นานว่าจะได้ออกเดินทางรึป่าว ก็เป็นอันเกิดขึ้น แถมครั้งนี้ยังมีเรื่องจองโรงแรมให้เจ็บใจอีก

คืนวันที่ 27 ส.ค. Agoda ส่งเมล์แจ้งเตือนว่าถึงกำหนดจ่ายเงินโรงแรมที่จองไว้ที่ Kukatsu ความซวยคือไม่ได้เช็คเมล์ ประกอบกับบัตรเครดิตที่ใช้จองโดนยกเลิกเมื่อ 2-3 วันก่อน พอเค้าจะตัดเงินเลยตัดไม่ได้ กว่าจะรู้ตัว ห้องที่จองไว้ก็หลุดลอยไป พอกลับเข้าไปจะจองใหม่ ปรากฎว่าห้องเต็มไปแล้ว เลยรีบหาใหม่ แต่หายังไงก็ไม่เจอที่ถูกใจแล้วราคาโอเค เลยต้องกลับมาที่โรงแรมเดิม แล้วยอมเสียตังเพิ่มหนึ่งพันบาท ได้เป็นห้องสำหรับสามคนมาแทน

ความซวยยังไม่จบแค่นั้น ด้วยความที่ห้องทั้งหมดจองโดยใช้บัตรเครดิตใบที่โดนยกเลิกไป ด้วยความที่กลัวว่าห้องที่เหลือจะโดนยกเลิกไปด้วยเลยรีบโทรหา Agoda Agoda บอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนบัตร คือต้องชำระเต็มจำนวนเลย ก็เลยตัดสินใจจ่ายเงินทั้งหมดเลย เพราะเห็นว่าใกล้วันเดินทางแล้ว

หลังจากจ่ายเงินได้ 1 วัน มีข่าวพายุไต้ฝุ่น Jebi ก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิค แถมมีการพยากรณ์ให้อย่างเรียบร้อยว่าจะขึ้นบกที่ญี่ปุ่นในวันที่ 4 ก.ย. และอาจมีผลกระทบที่โตเกียว ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะพอดีอะไรขนาดน้ัน ฟังเสร็จคิดถึงเงินที่จ่ายไปแล้วก่อนเลย ความโชคดียังมีอยู่บ้าง พอไปเช็คถึงเห็นว่าทุกโรงแรมยังคืนเงินได้หมดถ้าแจ้งก่อนคืนวันที่ 4 ก.ย. ติดแต่โรงแรมเจ้าปัญหาโรงแรมเดียวที่ Kukatsu ที่จะเรียกเก็บเงินแบบยกเลิกไม่ได้ในวันที่ 31 ส.ค. เลยคิดว่าไปยกเลิกก่อนดี เผื่อไต้ฝุ่นเข้าแล้วไปไม่ได้ สรุปด้วยความโง่ ไม่ได้หาโรงแรมใหม่ก่อนยกเลิก พอยกเลิกเสร็จไปดูโรงแรมก็ตกสภาพเดิม โรงแรมที่ดูใหม่ ที่มีห้องน้ำในตัว อยู่ใกล้ Yubatake ใน Kukatsu นี่มีน้อยเหลือเกิน สรุปก็คือหาไม่ได้ มาจบที่โรงแรมเดิม ตอนนี้เหลือแค่ห้องเดียวเป็นห้องสี่คน ต้องจ่ายเพิ่มอีกสองพันจากห้องแรกสุดที่จองไว้ ไม่มีทางเลือก เลยกดจองไปทั้งน้ำตา

ในส่วนของ Jebi หลังจากรู้ข่าวก็ตามมาตลอด เฝ้าเช้าเฝ้าเย็นประหนึ่งเป็นลูกรัก วันนี้ถึงเกาะนู้น วันนี้ถึงเกาะนี้แล้ว เฝ้าไปคิดไปว่าไฟล์ทจะโดนยกเลิกรึป่าว แถมเฝ้าอยู่ดีๆ Jebi ก็แข็งแรงขึ้นกลายเป็น Super Typhoon บอกว่าเป็นลูกที่หนักที่สุดที่เข้าญี่ปุ่นในรอบ 25 ปี ลุ้นๆๆๆทุกวัน แถมเป็นการลุ้นคนเดียว เข้าไปดูตามเพจ ตามกรุ๊ปท่องเที่ยวญี่ปุ่นแถบไม่มีใครพูดถึง สงสัยคนอื่นเค้ารู้กันหมดว่าเป็นหน้าไต้ฝุ่นเลยไม่มีใครมา เห็นมีแต่วางแผนดูใบไม้เปลี่ยนสีเดือนต.ค พ.ย. กัน นี่ล่ะเป็นผลของการท่องเที่ยวไม่ดูฤดู เอาแต่ว่าอยากมาก็มา มา ตามใจสองพ่อลูกที่ถูกแม่ทิ้งหนีไปเที่ยวกว่า 40 วัน

Day 1 Bangkok – Tokyo

ในที่สุดวันที่ 4 ก.ย.ก็มาถึง ตื่นเช้ามาพร้อมกับเช็คว่าไม่มีเมล์ Cancel ไฟล์ท เช็คดู Jebi ก็เคลื่อนไปทาง Osaka ตามที่พยากรณ์ไว้ น่ารักมากๆ ดังนั้น ก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางของสองพ่อลูกซะที

ครั้งนี้เลือกไปกับ Air Asia XJ 606 ออกจากดอนเมือง 11 โมงถึงญี่ปุ่นประมาณทุ่มนึง พวกเราชอบเที่ยวบินที่ถึงตอนกลางคืน เพราะจะได้นอนเอาแรงก่อนตื่นมาเที่ยว ราคาตั๋วครั้งนี้ค่อนข้างถูก เป็นครั้งแรกที่ได้จองตั๋วถูกอย่างใครๆเค้าบ้าง ถึงแม้จะซื้อแพคเกจเพิ่มน้ำหนักกระเป๋า ซื้อที่นั่ง Hot seat แถวแรกใน Quiet zone ได้ราคาตกคนละ 12,500 บาท พ่อดูถูกใจมากเพราะได้ยืดขายาวอย่างสบายใจ แต่ต้องบอกไว้ก่อนนะว่าที่รองแขนของแถวแรกจะยกขึ้นไม่ได้ การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงสนามบินนาริตะโดยสวัสดิภาพ

แผนที่วางไว้คือ เดินทางเข้าเมืองโดยใช้ Narita Express เราเลือกขบวนนี้เพราะว่ามันผ่านสถานี Shinagawa และ Shinjuku ซึ่งอยู่ใกล้โรงแรมที่จองไว้พอดี ตอนจองรถไฟก็จองไว้แบบไปกลับเลยเพราะได้ลดราคาจาก 6,040 เยน เหลือ 4,000 เยน คุ้มสุดๆ ตั๋วที่ซื้อก็เป็นแบบ Reserved seat เพราะด้วยระยะการเดินทางประมาณ 50 กว่านาที ถ้าไม่ได้มีที่นั่งประจำไว้ คงนั่งไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ พอได้กระเป๋า กะเดินมาซื้อตั๋วก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว รอเที่ยวรถไฟที่จะขึ้นได้อีกชั่วโมงกว่า ปรากฎว่าด้วยความโชคดี รถไฟเที่ยวก่อนหน้าดีเลย์มาจากผลกระทบของไต้ฝุ่น ทำให้เราได้ขึ้นเที่ยวที่ดีเลย์นั้นเลยแบบไม่ต้องรอ  รถไฟวิ่งแบบไปๆหยุดๆ เข้าใจว่าเป็นเพราะรถไฟดีเลย์ทั้งระบบ ทำให้เวลาการเดินทางยืดออกไปกลายเป็นชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็ถือว่าไม่แย่มาก พวกเราลงที่สถานี Shinagawa และต่อรถไฟไปอีก 2 สถานีที่สถานี Gotanda ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม การเดินทางค่อนข้างสะดวก การต่อรถไฟไม่ต้องเดินไกล แถมพอลงจากรถไฟแล้ว โรงแรมก็อยู่ห่างออกไปเพียง 200 เมตร

โรงแรม Mitsui Garden Gotanda ถือเป็นโรงแรมที่ประทับใจที่สุดในทริปนี้ อาจจะเป็นเพราะโรงแรมเพิ่งเปิดเมื่อกลางปี 2018 เลยยังใหม่ แถม Location ก็ดี อยู่ใกล้สถานีรถไฟ (ถ้าไม่นับว่าอยากอยู่ใจกลางเมืองสุดๆ) แล้วแถมยังมีออนเซ็นให้แช่ด้วย ครั้งนี้การจองโรงแรมได้บทเรียนจากการเที่ยวครั้งก่อนๆแล้วว่าต้องดูขนาดของห้อง เพื่อความอยู่สบายไม่อึดอัด ครั้งนี้ทุกโรงแรมจะเลือกห้องที่ขนาด 20 ตร.ม. ขึ้นไป โดยพอเลือกเป็นเตียงคู่ ขนาดห้องก็จะใหญ่ตามไปด้วย จากที่ดูมาถ้าเลือกห้องเตียงเดี่ยวไม่ว่า King หรือ Queen size ขนาดจะอยู่แค่ 10-15 ตร.ม.

ต้องขอบอกว่าตอนมาถึง สองพ่อลูกก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับไต้ฝุ่นอยู่บ้าง เพราะที่อ่านมาเค้าบอกว่าอาจมีผลกระทบเช่นลมพัดแรง หรือฝนตกหนัก บวกกับหลังจากต่อเน็ทเห็นความเสียหายตรงแถบคันไซที่ค่อนข้างรุนแรง ตอนนั่งรถไฟยังคิดว่ามันจะเที่ยวกันได้จริงๆรึป่าว ปรากฎว่าพอถึงโรงแรม แล้วออกมาหาอะไรกินแถวโรงแรมตอนประมาณสี่ทุ่ม ถึงรู้เลยว่าเป็นความกังวลของสองพ่อลูกไปเอง คนญี่ปุ่นออกมากินดื่มสังสรรค์กินข้าว หัวเราะเฮฮาเต็มร้าน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร้านแรกที่ไปกินเป็นร้านสไตล์ Izakaya ชื่อ Kamadoka รสชาติอร่อย เสียอย่างเดียวคือ ญี่ปุ่นเค้าให้สูบบุหรี่ในร้าน เลยต้องนั่งกินไป ดมควันบุหรี่ไป กินเสร็จก็ได้เวลาแช่ออนเซ็นผ่อนคลายก่อนนอน

Day 2 Tokyo

เช้านี้ตื่นมาเริ่มต้นด้วยการไปแช่ออนเซ็นของโรงแรมอีก ไปถึงประมาณ 7 โมง ต้องขอบอกว่าการมาแช่ออนเซ็นตอนเช้านี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ดี่ที่สุด เพราะไม่มีใครมาแช่เลย คนชอบคิดว่าดึกๆจะไม่มีใครแช่ แต่เอาเข้าจริงๆไปมาหลายที่แล้ว ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ ส่วนพ่อผู้ที่ยังทำใจกับการแก้ผ้ารวมไม่ได้ ก็อาบน้ำแต่งตัวอยู่ในห้องไป

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จองโรงแรมโดยไม่รวมอาหารเช้า เพราะคิดเอาเองว่าคงหาอะไรกินแถวโรงแรมได้หลายอย่าง เอาเข้าจริงๆคิดว่าไม่ง่ายอย่างที่คิด อาจจะด้วยความที่ไม่สันทัดในพื้นที่ การเสริช์หาดูส่วนใหญ่จะเจอเป็นพวกราเมง ซึ่งไม่ค่อยถูกโฉลกกับที่บ้านสักเท่าไหร่ ส่วนพวกร้านอาหารที่เล็งๆไว้ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้าแบบญี่ปุ่น หรือฝรั่ง ส่วนใหญ่จะเปิดกันตอนเก้าโมงเช้า แต่เนื่องจากพวกเราสองพ่อลูกค่อนข้างจะตื่นกันเร็ว การรอไปถึงเก้าโมง นี่ก็ถือว่าท้องกิ่วเหมือนกัน

อาหารเช้ามื้อแรกวันนี้มากิน Udon ที่ร้านชื่อ Oniyanma ที่ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Gotanda ร้านเป็นแบบยืนกิน ดูคึกคักมีคนเข้าออกตลอดเวลา ร้านนี้ทำด้วยคนๆเดียว ทั้งลวกเส้น ทอดเทมปุระ เก็บโต๊ะ ล้างจาน ไม่มีจังหวะไหนที่เค้าได้ยืนอยู่เฉยๆเลย คนมากินส่วนมากเป็นคนที่กำลังจะขึ้นรถไฟไปทำงาน กินกันแบบรีบๆแล้วก็ไป เราสองพ่อลูกเวลาอยู่ไทยเข้าร้านไหนก็ออกก่อน มาถึงที่นี่บอกได้คำเดียวว่าแพ้ ทุกคนกินเสร็จก่อนเราหมด ไม่ว่าจะเข้าก่อนเข้าหลัง

หลังจากศึกษามาอย่างดีเลยได้คำตอบว่าการซื้อ Pass ใดๆ ไม่ได้ทำให้พวกเราคุ้มค่าเพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะแพลนที่วางไว้เป็นแบบหลวมๆไม่ได้เดินทางไปหลายๆที่ แถมยังใช้ใน JR และ Subway ผสมกันไปมา ทางออกที่ง่ายและไม่ปวดหัวก็คือ การใช้บัตร Suica ซึ่งก็คือบัตรเติมเงินธรรมดาๆนี่แหละ ไปเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น ไม่ต้องมาคอยหยอดเรียนกดบัตรทีละครั้ง เริ่มต้นง่ายๆเติมเงินไปเลย 2,000 เยน (รวมมัดจำบัตร 500 เยน) หลังจากใช้แล้วรู้สึกประทับใจในความสะดวกสุดๆ

ที่แรก เป็นจุดที่ไม่เคยพลาดในทุกครั้งที่มาโตเกียวคือวัด Asakusa หรือวัด Sensoji วัดที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่จำตำนานของสองพี่น้องชาวประมงได้อย่างขึ้นใจ โดยสองพี่น้องชาวประมงเหวี่ยงแหหาปลาในแม่น้ำ Sumida แล้วเจอรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมติดขึ้นมา สองพี่น้องโยนรูปปั้นทิ้งไปอย่างไรรูปปั้นก็ยังติดแหกลับมา สุดท้ายจึงอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานและสร้างเป็นวัด

การมาครั้งนี้อาจจะต่างกับทุกครั้งที่เคยมาคือมาในช่วงเช้าตอนเก้าโมงที่วัดเพิ่งเปิด ถนน Nakamise ที่ปกติคราคร่ำไปด้วยผู้คน ก็ดูบางตาลง ร้านรวงก็ยังเปิดไม่ครบ แถมครั้งนี้โคมแดงยังถูกพับเหลือครึ่งนึงด้วย (จากที่หาเหตุผลเอาในเน็ต เข้าใจว่าเป็นการพับสำหรับงานเทศกาล เพื่อให้รถสูงผ่านได้) นอกจากนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เดินไปดูอาคารเล็กๆด้านข้างอาคารใหญ่ ทำให้รู้ว่าด้านนึงเป็นศาลเจ้าชินโตเพื่อเคารพผู้ก่อตั้งวัด ส่วนอีกด้านนึงเป็นที่ประดิษฐานของพระประจำราศี

นอกจากเดินเล่นแล้วก็ไม่พลาดขนมอร่อยแถววัด เริ่มจากร้าน Asakusa Kokone ขาย Ake Munju เป็นขนมแป้งทอดที่มีให้เลือกหลายๆไส้ ตอนอยากมาคือได้ยินคำโฆษณาว่าอร่อยจนจักรพรรดิ์ญึ่ปุ่นต้องมากิน ร้านหาง่ายๆแบบยังไงก็เดินผ่าน  ร้านต่อไปไปที่ร้าน Kagetsudo ที่ขาย Melon Pan เข้าใจว่าน่าจะมีอยู่สามสาขารอบๆวัด อันนี้คือเดินแบบงงๆตาม Google Maps มา โชคดีเจอเป็นร้านที่นั่งได้ มีขายน้ำ ขายไอติม เลยได้นั่งพักสบาย ระหว่างให้พ่อนั่งพักต่อ ก็แอบเดินไปซื้อไอติมชาเขียว Suzukien เดินไปแค่ 500 เมตร แต่อากาศร้อนสุดๆ แดดแรงร้อนกว่าเมืองไทยอีก พอไปถึงร้านงงมาก มีคุณป้ายืนอยู่ พูดภาษาญี่ปุ่นใส่รัวๆ เดาเอาได้ว่าร้านได้ย้ายไปแล้วเดินไปอีก 2-3 ไฟแดง กว่าจะได้ไอติมกลับมานี่เหงื่อท่วมเลย

ออกจากวัดประมาณสิบโมงกว่าๆ นั่งไปลงที่ Tokyo Station ตั้งใจจะไปกินซูชิหมุนที่ร้าน Nemuro Hanamaru อยู่ในห้าง Kitte ไปถึง 11 โมงห้านาที งงไปเลย เพราะร้านเปิด 11 โมงแต่คนเต็มหมดแล้ว แถมมีคิวรอก่อนหน้าอยู่อีกสองสามคิว โชคดีรอไม่นานประมาณสิบห้านาทีก็ได้เข้าไปกิน ไม่แน่ใจว่าร้านทำไมถึงคนเยอะ คือปลาก็สดดี แต่รสชาติโดยรวมก็เฉยๆ สงสัยจะถูกปากคนญี่ปุ่นมากกว่า เพราะมีแต่คนญี่ปุ่นมากิน

กินเสร็จก็ขึ้นไปชมวิว Tokyo Station ที่ดาดฟ้าของห้าง ยืนชมได้อยู่แป๊ปเดียวเท่านั้นล่ะ แดดแผดเผาสุดๆ

ออกเดินทางต่อไปยัง Attraction ต่อไป คือ Imperial Palace คุยกับพ่อตั้งแต่ก่อนมา ว่าเรามาโตเกียวกันตั้งหลายครั้งทำไมไม่เคยมีใครพามาที่นี่เลย เลยอยากมาดู แต่ก่อนมาศึกษามาอย่างดีแล้วว่าถ้าจะเดินดูให้ครบๆต้องเดินค่อนข้างไกล เลยตกลงกันได้ว่ามาดูแต่สะพานแว่นตาล่ะกัน โดยเล็งไว้แล้วว่าต้องขึ้นที่สถานี Sakuradamon เพื่อการใช้ขาที่ประหยัดที่สุด ซึ่งก็ทำสำเร็จ เพราะเดินนิดเดียวก็ถึง พ่อก็ดูแฮปปี้ที่ไม่ต้องเดินไกล

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ถึงโรงแรมประมาณบ่ายสองกว่าๆ รอออนเซ็นตอนบ่ายสาม ตอนบ่ายนี้ยิ่งดีใหญ่ ไม่มีคนเลย น่าจะเป็นเพราะทุกคนออกไปเดินเที่ยว ได้แช่ออนเซ็นสบายยังกับเป็นออนเซ็นส่วนตัว สบายสุดๆ

พอห้าโมงก็ได้เวลาออกเดินทางไปยัง Tokyo Disney Land จุดนี้มีความงงอยู่เล็กน้อย คือ ก่อนมาวางแผนไว้ว่าจะซื้อ After 6 แล้วก็ลองกดดูว่าซื้อตั๋วในวันเดียวกันทำได้มั๊ย ก็ทำได้ แต่ปรากฎว่าถึงวันจริง พอจะซื้อ ระบบให้ซื้อได้แต่ตั๋ว 1-Day  เกิดความนอยว่าตั๋ว After 6 มีเต็มรึป่าว เลยลองเปลี่ยนภาษาเป็นญี่ปุ่น สรุปว่าก็มี After 6 ให้ซื้อ ลองทำตัวเป็นคนญี่ปุ่น ใส่ชื่อทุกอย่างเป็นญี่ปุ่น แล้วกดซื้อ ปรากฎระบบไม่ให้ ติดอยู่อย่างเดียวคือเบอร์โทรศัพท์ งงมากทั้งๆที่ใส่เบอร์โทรของโรงแรม สรุปว่าปลอมตัวไม่เป็นผลสำเร็จ เลยต้องไปต่อคิวซื้อเอาหน้างานแทน ตอนนั้นไปถึงประมาณหกโมงเย็น ใช้เวลายืนประมาณ 15 นาทีก็ซื้อตั๋วได้ ก็ถือว่าไม่แย่มากนัก คนที่มาต่อคิวซื้อตั๋วส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น ดูแล้วก็แปลกตาดี คือเราไปกันวันจันทร์ คนที่มาต่อคิวซื้อเป็นเด็กนักเรียน พนักงานออฟฟิศ ดูเหมือนแบบเลิกเรียน เลิกงานแล้วค่อยมา ดูงงๆ เพราะแบบถ้าให้คิดว่าเราอยู่เมืองไทย เลิกงานแล้วคงไม่มีอารมณ์มาสวนสนุก แต่คนที่นี่ดูมาเป็นเรื่องปกติ

พูดถึง Disneyland แล้วเป็นที่ที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถมีความสุขได้จริง แค่เพียงเดินเข้าตัวสถานี Resort Gateway Station ทุกคนก็ดูอารมณ์ดีทีเดียว ทั่วสถานีเปิดเพลงแบบเด็กๆ เหมือนใครเข้ามาได้ยินก็ยิ้มโดยอัตโนมัติ รถไฟก็น่ารักเป็น Theme Mickey Mouse หมด

ครั้งนี้เป็นการมา Disneyland ที่คุ้มกว่าทุกครั้ง เพราะทุกครั้งจะมาตอนกลางวัน คนจะเยอะกว่านี้มาก อากาศที่เคยมาก็ไม่ดีเท่านี้ เคยมาหน้าหนาว แดดก็แรง อีกครั้งก็ฝนตก เดินไม่สบาย ครั้งนี้ถือว่าสบายตัวสุดๆ ไม่มีเสื้อหนาว ผ้าพันคอ พะรุงพะรัง อากาศก็เย็นกำลังดี ประมาณ 20 กว่าองศาต้นๆ แถมบรรยากาศก็สวยสุดๆ มีไฟประดับประดา ได้ดู Night Parade ดูโชว์แสงสีตอนกลางคืน

ตอนแรกตั้งใจซื้อ After 6 เพราะคิดว่าพ่อคงไม่ได้อยากอยู่นานอะไร และก็คงไม่เล่นอะไรเยอะ มาเดินๆแล้วก็กลับ ปรากฎว่าอยู่ไปอยู่มาได้เล่นเครื่องเล่นหลายเครื่อง แถมอยู่จนปิดเลย พวกเราเริ่มต้นด้วยการเล่น Buzz Light Year อันนี้ต่อคิวนานสุดคือครึ่งชั่วโมง สนุกมากแข่งกันยิงปืนกับพ่อ ชนะด้วย หลังจากนั้น ก็ไปเล่นเครื่องอื่นต่อ ไม่มีเครื่องไหนรอนานเกินสองนาทีเลย แถมดีที่เครื่องที่ปกติให้นั่งแถวละหลายๆคน พอไม่มีคน เค้าให้นั่งแถวละสอง เป็นส่วนตัวมากๆ  เครื่องที่ได้เล่นมีม้าหมุน / Pinocchio / It’s a Small World / Haunted Mansion / Western Railroad / Pirates of the Caribbean สรุปว่า 4,800 เยนที่จ่ายไปคุ้มสุดๆ

ก่อนมาตั้งใจจะหาร้านอาหารนั่งกินอาหารดีๆ ปรากฎเดินไป เดินมาเล่นนู้น เล่นนี่ ได้แต่กินของพวกนี้แทน ที่ชอบสุดคือ Churos กับป๊อบคอร์น

Day 3 Tokyo – Gunma (~190 km)

เช้าวันนี้ตื่นมาก็ไปออนเซ็นอีก แล้วก็กินพวกอาหารทะเลแห้งที่ซื้อมาจาก Lawson เป็นรุ่นที่ที่ถุงจะเขียนว่า Lawson Select รสชาติอร่อยมาก มีทั้งปลาแห้ง ปลาหมึกแห้ง หอยเชลล์ ซาลามี่ แถมซื้อกลับบ้านมาอีกหลายสิบถุง กินข้าวเสร็จก็เดินไปรับรถที่ Nippon Rent A Car การเช่ารถของที่นี่ ค่อนข้างจะแปลกมาก คือไม่มีการขอบัตรเครดิตใดๆไว้เลยตั้งแต่ตอนจอง เป็นแค่การใส่รายละเอียด ให้อีเมลล์ไว้ ถือเป็นว่าจองเรียบร้อย ตอนรับรถก็จ่ายเงินสด แล้วก็จบกัน ที่รับรถมีแต่คุณลุงแต่ทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้แบบพอเข้าใจ คุณลุงนำเสนอขายเพิ่มเติมประกันจากที่เราซื้อไว้จากตอนจองมา พวกเราก็เชื่อซื้อเพิ่มโดยทันที จากนั้นมาส่งที่รถ มาตั้ง GPS ที่ติดกับในรถให้ เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย คุณลุงพยายามถามว่าจะไปที่ไหน เพราะจะตั้งใส่ไว้ใน GPS ให้ ปรากฎว่าโรงแรมที่บอกคุณลุงไปไม่มีอยู่ใน GPS บอกว่าไม่เป็นไร คุณลุงก็ไม่ยอมแพ้ หาด้วยชื่อบ้าง หาด้วยเบอร์โทรศัพท์บ้าง เอาจริงๆคือจะรีบไป บอกยังไงคุณลุงก็ไม่ยอม สุดท้ายเลยเลือกที่ใกล้ ที่คิดว่าต้องมีแน่ๆให้คุณลุงใส่ไปให้สบายใจ เป็นอันจบ ได้ฤกษ์ออกเดินทาง หลังจากทำมาอยู่หลายสิบนาที

เอาจริงๆ GPS ที่ติดกับรถมา นี่ก็แนะนำให้ใช้เลย คิดว่าบางส่วนดีกว่า Google Maps คือถ้าเป็นพวกสถานที่ที่มีมานานแล้ว ใส่เบอร์โทรศัพท์ปุ๊ปจะหาเจอเลย สะดวกมาก แล้วเวลานำทาง มันจะบอกละเอียดมาก แบบลงตรงไหน มีรูปให้ดูว่าถนนเป็นยังไง บางทีดูใน Google Maps จะงง เวลามีทางแยก อันนี้จะมีรูปบอกเลยว่าต้องอยู่เลนไหน ใกล้ที่จ่ายเงินค่าทางด่วน ก็จะมีเตือนบอก แล้วก็คำนวณราคาให้เลย ใช้มาขึ้นลงทางด่วนหลายจุด มีคำนวณราคาไม่ตรงอยู่แค่สองครั้ง อีกอย่างนึงที่เจอปัญหากับ Google Maps คือ มันคำนวณระยะทางที่ใกล้ให้ แต่ปรากฏว่าทางออกนั้น ต้องใช้ ETC จ่ายเท่านั้น เราไม่ได้ซื้อ ETC มากลายเป็นออกไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครช่วยได้ด้วยนะ สุดท้ายต้องหาทางกลับรถย้อนกลับเข้ามาเอง แต่ GPS ติดรถคำนวณมันไม่ได้ให้ออกทางนี้ มันคำนวณให้ไปออกทางที่ใช้เงินสดได้ ซึ่งเอาจริงๆการไม่มี ETC ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะขับมาเจอแค่ทางออกเดียวเองที่ไม่รับเงินสด

การขับรถในญี่ปุ่น โดยรวมถือว่าง่าย พูดประหนึ่งเป็นคนขับเอง จริงๆคือพ่อเป็นคนขับตลอดทาง ที่ว่าง่ายคือเวลาขึ้นทางด่วนแล้ว มันก็จะเป็นเหมือนทางด่วนโดยทั่วไปที่มีทางออกเป็นจุดๆ ซึ่งดูค่อนข้างง่าย ระหว่างทางก็จะมีจุดพักรถให้ตลอด แวะเข้าไปพักก็ไม่ต้องออกจากทางด่วน ทางมันจะวนให้กลับมาเชื่อมกลับทางเดิมที่เข้าไปได้ มีทั้งจุดพักแบบมีร้านค้า ร้านอาหาร ห้องน้ำ ปั๊มน้ำมัน ดูเอาตามป้ายได้เลย ในส่วนของ Speed limit มีป้ายบอกไว้ แต่เห็นทุกคนขับเกินหมด ก็ขับเกินตามเค้าไป ที่อาจจะน่าเบื่อคือพวกถนนในเมืองที่อาจจะเป็นเลนเดียว หรือถนนขึ้นเขา ซึ่งอันนี้ถ้าไปเจอรถเต่าอยู่ข้างหน้า ก็จะไม่มีใครแซงได้เลย ติดยาวเป็นขบวน ในส่วนของการเติมน้ำมัน ทั้งทริปนี้เติมไปสองครั้ง เติมนอกเมืองครั้งนึง ในโตเกียวครั้งนึง ทั้งสองที่มีคนบริการเหมือนเมืองไทยตามปกติ แต่ที่ต่างคือที่โตเกียวตัวปั๊มจะห้อยลงมาจากบนเพดาน แปลกดี

Takasaki

วันนี้ตามแผนคือ การมาเที่ยวที่จังหวัด Gunma ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวประมาณสองชั่วโมงครึ่ง Gunma มีชื่อเสียงมากในแง่ของออนเซ็น จุดแรกที่แวะคือ วัด Shorinzan Darumaji วัดที่เป็นต้นกำเนิดของตุ๊กตาดารุมะ โดยตอนแรกตุ๊กตาดารุมะจะมีตาเพียงแค่ข้างเดียว แต่เมื่อไหร่ที่สำเร็จในเรื่องที่ขอ คนที่ขอจะวาดตาอีกข้าง และนำมาวางไว้ที่วัด ที่วัดบรรยากาศร่มรื่น อากาศเย็นสบาย ถึงจะมีแดด แต่ก็ไม่ร้อน เหมือนตอนอยู่ที่โตเกียว ที่นี่มีให้ตีระฆังขอพรด้วย

Shibukawa

ไหว้พระเสร็จ ก็ได้เวลาอาหารกลางวัน มากิน Mizusawa Udon ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอุด้งที่อร่อยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น ด้วยความที่มีแป้งสาลี น้ำ และเกลือที่ดี โดยในพื้นที่นี่จะมีร้านอุด้งรวมตัวกันอยู่ตลอดทั้งสาย โดยมีทั้งหมด 13 ร้านดั้งเดิม แต่ละร้านที่ผ่านก็ดูใหญ่ๆทั้งนั้น แต่ละร้านมีที่จอดรถเป็นของตัวเอง เราเลือกมาทานที่ร้านชื่อ Tamaruya ตอนเข้ามาเป็นช่วงประมาณเกือบบ่ายโมง แต่คนก็ยังเยอะอยู่ ต้องนั่งรอประมาณ 10 นาที ทั้งร้านมีแต่คนญี่ปุ่น พนักงานก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ โชคดีมีเมนูเป็นรูป เลยจิ้มๆเอาได้ สั่งมาลองกันสองแบบ แบบแรกเป็นอุด้งธรรมดา แบบที่สองเป็นอุด้งแบบผสมธัญพืชแล้วตัดเป็นเส้นหนาๆ ให้กินกับเกลือแล้วก็น้ำมันมะกอก รสชาติแปลกดี ทั้งสองอย่างสั่งมาแบบเป็นเซ็ท มีของข้างเคียงให้กิน อร่อยทุกอย่าง แถมกุ้งทอดที่สั่งมาเพิ่มก็อร่อย กินกับเส้นแบบไหนก็เข้า กินไปผสมกับเสียงซู๊ดๆรอบข้างไป ดังมากๆ แต่แอบสังเกตว่าถ้าเป็นผู้หญิงเค้าจะกินกันแบบไม่มีเสียง

แวะเที่ยวต่อที่ Ikaho โดยไปตรงบันไดหินที่อยู่ตรงกลางเมือง ความสูงของบันไดหินมีทั้งสิ้น 365 ขั้น ตลอดทางเดินจะมีร้านค้า ร้านอาหาร เรียงรายอยู่สองข้างทาง วันที่เราไปร้านก็ออกจะดูเงียบๆ เปิดบ้างปิดบ้าง ไม่รู้เป็นยังงี้อยู่แล้ว หรือไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว แต่สองพ่อลูกก็ไม่ได้เดินไกลนะ เพราะดูมาแล้วว่าไม่อยากเดินเยอะ เลยขับรถวนไปจอดที่จุดสูงสุด ที่เลือกจะจอดที่จุดบนสุดเพราะรู้มาว่ามีร้านต้นกำเนิด Onsen Munju ที่ถือว่าเป็นขนมประจำจังหวัด Gunma ชื่อร้าน Shougetsudo ตอนไปดูเห็นเค้าวางเป็นกล่องๆ กล่องเล็กสุด 6 ชิ้นแหนะ โชคดีที่พอไปยกนิ้วเดียว แล้วเค้าขายมาให้ชิ้นเดียว พอให้ลองชิม กินแล้วรสชาติก็เฉยๆ ด้านนอกเป็นแป้งนุ่มๆ ด้านในเป็นไส้ถั่วแดง กินเสร็จก็เดินขึ้นไปที่วัดที่อยู่ด้านบนสุด เดินกลับลงมาเดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็กลับขึ้นรถ

ไปต่อแบบงงๆ เพราะทางก็เป็นทางเขา มีซอกซอยเยอะ GPS บอกให้เลี้ยวก็เลี้ยวไม่ทัน พลาดไปพลาดมาอยู่หลายที สุดท้ายน่าจะได้ทางอ้อม ขับขึ้นเขาสูงขึ้นไปอีก แต่ข้อดีของการหลงก็คือ ทำให้ได้ชมวิว วนไปวนมาจนถึงทะเลสาบ Haruna

Agatsuma

วนขึ้นเขาไปมา กว่าจะมาถึงโรงแรม Kusatsu Onsen Futabaya โรงแรมเจ้าปัญหาที่ต้องเสียตังเพิ่ม และได้เตียงที่ไม่ได้ใช้เพิ่มมาอีกสองเตียง ก็เกือบห้าโมงเย็น โรงแรมที่นี่ใช้ได้ ห้องใหญ่กว้างขวางสมใจจากการเพิ่มเงินมา ที่ตลกอีกอย่างคือ ลืมไปว่า Kusatsu เป็นเมืองที่น้ำแร่ดีที่สุดติดอันดับหนึ่งในสามของญี่ปุ่น ตอนจองก็ควรจะเลือกโรงแรมที่มีออนเซ็นด้วยจะได้แช่ให้หนำใจ ปรากฎว่ามัวแต่ห่วงว่าต้องมีห้องน้ำส่วนตัวกับห้องใหญ่ ก็เลยไม่ได้สนใจว่ามีออนเซ็นรึป่าว แต่การไม่ได้มีออนเซ็นในตัวโรงแรมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะที่นี่เป็นเมืองแห่งออนเซ็น มีออนเซ็นสาธารณะอยู่มากมาย ซึ่งโรงแรมก็ได้ทำรายชื่อและแผนที่เอาไว้ให้เรียบร้อย

เก็บของเสร็จเดินออกจากโรงแรมไปนิดเดียวก็จะถึงกลางเมืองที่เป็นที่ตั้งของ Yubatake บ่อน้ำพุร้อนใจกลางเมือง เดินเล่นต่อไปเรื่อยๆตามทาง เพื่อจะไปแช่ออนเซ็น Open air ที่ Sainokawara Park ระหว่างนั้นสองข้างทางก็จะมีร้านขายของพื้นเมือง ร้านอาหาร แต่วันที่ไปบรรยากาศไม่ค่อยคึกคัก ดูเงียบๆ ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวเดินไปมาบ้าง แต่ร้านก็ดูหงอยๆ เดินผ่านเห็นร้านนึงขายปลาปิ้ง กะไว้ว่าแช่ออนเซ็นเสร็จจะมากิน

เดินไปเกือบหนึ่งกิโลก็ถึง Sainokawara Park ที่ปากทางจะมีทางขึ้นไปวัดอยู่ด้วย ที่นี้บรรยากาศดีมาก อากาศดี มีบ่อกลางแจ้งให้คนที่ผ่านมาได้แช่เท้าด้วย พอดีตามแผน ทิ้งพ่อให้แช่เท้า ส่วนตัวเราก็เดินเข้าไปแช่ออนเซ็น โดยส่วนตัวชอบออนเซ็นกลางแจ้งมาก เพราะว่าได้บรรยากาศ แบบมีความเย็นจากอากาศธรรมชาติ แล้วก็ได้นั่งแช่น้ำร้อนๆ มองดูต้นไม้ไปเรื่อยๆ ข้อเสียของที่นี่มีอย่างเดียวคือ Facilities ก่อนเข้ามาไม่มีอะไรให้เลย มีตู้ให้วางของ มีล็อคเกอร์แบบหยอดเหรียญ ไม่มีที่ให้อาบน้ำ สระผม ไม่มีผ้าเช็ดตัว โชคดีรู้มาก่อน เลยเตรียมมาหมด ในส่วนของเรื่องอาบน้ำก่อนลง จะต่างจากที่อื่น ที่อื่นจะมีที่ให้อาบน้ำสระผมก่อนลง แต่ที่นี่ไม่มี มีแค่ขันให้ตักน้ำราดๆตัว แล้วก็ลงไปแช่ แช่เสร็จมานั่งเล่นในสวนอีกสักพัก แล้วก็เดินกลับเข้ากลางเมือง ระหว่างเดินกลับก็ต้องงงเลย เพราะยังไม่ทุ่มนึง แต่ร้านรวงที่เดินผ่านมา ปิดหมดแล้ว รวมทั้งร้านปลาปิ้งที่เล็งไว้ด้วย

อยู่ๆฝนก็ตกปรอยๆ เลยเดินกลับไปที่โรงแรมเอาร่ม กลับออกมาเดินวนหนึ่งรอบเพื่อหาของกิน อยากจะบอกว่าเงียบมาก คนก็เริ่มน้อยลง น่าจะเพราะว่าทุกคนนอนเรียวกังที่มีเสิร์ฟอาหารเย็นแล้วมั้ง เลยไม่ค่อยมีใครออกมาเดินเล่น สุดท้ายมาเจอร้านนึงที่คึกคักสุด คนญี่ปุ่นแน่นเต็มร้าน เป็นร้านเนื้อปิ้งชื่อ  焼肉吾妻 มีเมนูภาษาอังกฤษ เลยจัดแจงสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว อาหารอร่อยดี กินเสร็จก็เดินเล่นรอบๆ Yubatake แล้วก็กลับโรงแรม เป็นอันจบไปอีกหนึ่งวัน

Day 4 Gunma – Niigata (~280 km)

เช้าตื่นมาตั้งใจไปแช่ออนเซ็นที่ Gozanoyu เพราะอยู่ใกล้กับที่โรงแรมดี แถมมีทีเด็ดคือมีน้ำแร่จากสองแหล่ง คือของที่นี่ และของที่อื่นให้แช่ดู เดินไปถึงใจกลางเมืองต้องถึงกับตกใจ ไม่มีคนเลยสักคนเดียว ร้านรวงก็ปิดหมด โชคดีที่เมื่อคืนคิดไว้แล้ว เลยตุนข้าวปั้นจากเซเว่นเตรียมไว้เป็นอาหารเช้าแล้ว เดินวนไปมาแป๊ปนึง เพื่อรอออนเซ็นเปิดตอน 7 โมง ระหว่างนั้นก็มีคนเดินออกมาบ้างแบบไม่เกิน 20 คน ถึงเวลาออนเซ็นเปิด เดินเข้าไป จาก Public กลายเป็น Private ออนเซ็นเลย แช่อยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าๆ จนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ไม่มีใครมาใช้บริการเลย โชคดีจริงๆ

Numata

ออกเดินทางต่อไปที่สวน Harada เป็นสวนขนาดใหญ่ มีผลไม้หลากหลายชนิดเช่น เชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ พีช องุ่น โดยสามารถซื้อบัตรเข้าชมสวนและเก็บผลไม้ตามฤดูกาลได้ด้วย โดยช่วงที่ไปเป็นฤดูกาลขององุ่น มาถึงนี่ตกใจเลยเด็กนักเรียนตัวเล็กๆมาทัศนศึกษาน่าจะเป็นร้อยคน โชคดีที่พวกเราไปถึงตอนที่เค้ากำลังตั้งแถวเตรียมกลับกันพอดี ไม่งั้นรอคิวตายแน่ๆ

ตอนไปซื้อบัตรเข้าไปเก็บองุ่น ก็เป็นความงงๆ เนื่องจากพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย สรุปตามความเข้าใจ หลังจากไปถึงสวนแล้ว คือมีให้เลือกเก็บองุ่นได้สองพันธุ์ คือ Kyoho กับ Fujinori ราคาแต่ละอันไม่เท่ากัน ซึ่งตอนเลือกไม่รู้อะไรก็เลยเลือกที่แตกต่างกัน เลยได้ลองทั้งสองอัน พอซื้อบัตรเสร็จเค้าก็จะมีรถตู้มารับพาไปที่สวน ตอนนี้ความสงบกลับมา มีคนญี่ปุ่นไปที่สวนกับเราแค่สองคนเอง ไปถึงตื่นตาตื่นใจเล็กน้อย องุ่นออกเป็นพวงอยู่เต็มสวน มาถึงเค้าจะมีองุ่นให้กินคนละสิบกว่าลูกได้ เสร็จแล้วเค้าค่อยพาไปอธิบาย แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ เค้าทำท่าใบ้ๆ บอกจนเราเข้าใจว่าองุ่นพันธุ์นึงให้เลือกได้เฉพาะที่ถูกห่ออยู่ แล้วจะเอาอันไหนให้เดินมาบอกเค้าก่อน ส่วนอีกพันธ์ุนึงให้เลือกที่อยู่นอกถุง แล้วตัดได้เลยไม่ต้องมาบอกเค้า เค้าให้ตัดอย่างละพวงนะ ไม่ได้ให้เป็นแบบเท่าไหร่ก็ได้ ก็เป็นกิจกรรมที่สนุกดี ประกอบกับพ่อชอบกินผลไม้มาก ได้องุ่นมาสองพวงกินไปได้ตลอดทางเลย อร่อย แล้วราคาไม่แพงด้วยจำได้ว่าจ่ายค่าเข้าไปไม่เกินสองพันเยน แถมยังได้ลูกพีชใหญ่เท่ามือราคาแค่ 500 เยน มากิน ทั้งหอมหวานอร่อย

Minamiuonuma

ขับรถต่อมาเรื่อยๆ จนเข้าเขตจังหวัด Niigata ระหว่างขับรถจะเห็นแปลงปลูกข้าวอยู่ตลอดสองของทาง ตอนนี้ข้าวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองๆ การปลูกข้าวของที่นี่ก็แปลกดี บางบ้านจะมีแปลงข้าวของตัวเองอยู่ติดกับตัวบ้านเลย เป็นแปลงเล็กๆเท่าพื้นที่บ้าน ต่างกับที่เคยเห็นที่จะเป็นแต่ทุ่งข้าวกว้างๆ

ใครจะไปเชื่อว่าสถานีรถไฟใต้ดินจะให้ความเพลิดเพลินได้ดีอย่างมากมาย พวกเราสองพ่อลูกมาถึงที่สถานี Echigo Yuzawa ที่สถานีรถไฟใต้ดินนี้เป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวอย่างเราๆเลย ด้านในใหญ่โตมีร้านอาหาร ร้านขายของพื้นบ้าน ออนเซ็น พิพิธภัณฑ์สาเก

เริ่มต้นกันด้วยพิพิธภัณฑ์สาเก Ponshu-kan ที่นี่ไม่ได้มีข้อมูลโชว์อะไรให้น่าเบื่อเหมือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไป แต่ที่นี่มีสาเกกว่าร้อยชนิด ที่รวบรวมมาจากทุกพื้นที่ในญี่ปุ่นมาให้ได้ชิมกัน โดยก่อนเข้าจ่ายเงินไปคนละ 500 เยน จะได้เหรียญมา 5 เหรียญ เพื่อใช้หยอดตามตู้สาเกที่เลือก บางตู้ใช้เหรียญเดียว บางตู้ใช้ 2 เหรียญ เลือกชิมอันไหนก็ได้ตามใจชอบเลย ที่หน้าตู้ก็จะมีบรรยายไว้ว่าสาเกของที่ไหน ทำจากอะไร รสชาติเป็นยังไง แถมยังมีเกลือไว้ให้กินกับสาเกอีก แค่เกลือเนี่ยก็มีหลายสิบชนิดเลยนะ สองพ่อลูกได้มาทั้งหมด 10 เหรียญ แต่พ่อต้องขับรถเลยไม่กล้าดื่มเยอะ สุดท้ายเลยเหลืออีก 5 เหรียญ เอาไปคืน เค้าให้เงินคืนมาด้วย

เสร็จแล้วต่อด้วยการกินซูชิหมุนที่ร้านตรงบริเวณนั้นเลย ของสดรสชาติใช้ได้

ต่อจากนั้นก็เป็นการช้อปปิ้ง ด้วยความที่ Niigata มีทำเลที่ตั้งที่อยู่ระหว่างภูเขาและทะเล ทำให้เป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อด้านความสมบูรณ์ของอาหารหลากหลายชนิด และได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งข้าวและสาเก ดังนั้นสินค้าท้องถิ่นที่มีให้เลือกซื้อและตรงใจกับบ้านเรา คือพวกข้าว และอาหารทะเลแห้งต่างๆ ทำให้เสียเงินไปกับที่นี่ได้หลายหมื่นเยน นอกจากนี้ ก็ยังมีสินค้าอีกมากมายวางขายไม่ว่าจะเป็นขนม โดยเฉพาะพวกขนมที่ทำจากแป้งข้าว พวกเซมเบ้ โมจิ หรือจะเป็นพวกผักดอง สาเก ก็มีให้เลือกซื้อเต็มไปหมด

นอกจากนี้ แม้ว่าจะอิ่มแค่ไหน แต่ก็ไม่ลืมที่จะชิมของขึ้นชื่อ ด้วยความที่ข้าวของที่นี่ (Minamiuonuma Koshihikari) มีชื่อเสียงมาก และได้รับการยกย่องว่าเป็นข้าวที่มีคุณภาพดีและอร่อยที่สุดในญี่ปุ่น พวกเรามาที่ร้าน Yukinto ที่ขึ้นชื่อเรื่องข้าวปั้น มีขายตั้งหลายหน้า ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 300-600 กว่าเยน สำหรับข้าวปั้นไซส์เล็ก ซึ่งไซส์เล็กของเค้าก็ใหญ่กว่าข้าวปั้นสามเหลี่ยมธรรมดา 3-4 เท่า ครั้งนี้ก็เลือกกินไส้บ๊วยของโปรด พอสั่งไป เค้าก็จะทำสดๆให้เลย ปั้นๆๆ ท่าเดียวกับ BNK เต้น ตอนร้อง Onigiri Onigiri เลย ตอนทำเสร็จหน้าตาของข้าวปั้นจะประหลาดกว่าที่เคยกินมาหน่อย เพราะทุกที่เคยกินแต่ข้าวปั้นสามเหลี่ยม อันนี้มันจะออกเป็นก้อนๆกลมๆแล้วก็ห่อสาหร่ายมิดด้านนอกไม่เห็นข้าวเลย ต้องขอบอกว่าชอบมากๆ ข้าวหอมๆอุ่นๆ กับไส้บ๊วยที่หอมไม่แพ้กัน ที่ร้านเค้ายังมีไซส์ใหญ่เบิ้ม แบบใหญ่ประมาณหัวคนอีกนะ อยากลองสั่งมาก แต่ต้องอดใจไว้ เพราะดูจากปริมาณข้าวแล้ว น่าจะกินได้ไป 4 มื้อ เสร็จจากข้าวปั้นก็ไปต่อที่ Kouji Cafe ร้านนี้จะทำเครื่องดื่มขนมหวานจากข้าวหมัก สั่ง Amazake เย็นมาชิม รสชาติเหมือนกินสาเก แต่ออกไปทางหวานๆกว่า คนไม่ชอบกินสาเกก็จะไม่ชอบกลิ่นเลย

Nagaoka

ออกเดินทางต่อไปที่ตลาดปลา ฝนเริ่มตกลงมาปรอยๆ โชคดีที่พอมาถึงปุ๊ป ฝนก็หยุดตก ตลาดปลาค่อนข้างเงียบเหงา ร้านเปิดทุกร้าน แต่ไม่ค่อยมีคนมาเดิน ไม่รู้เป็นเพราะเป็นช่วงบ่ายหรือเพราะฝนตกรึป่าว ตลาดปลาที่นี่มีอยู่ประมาณสิบกว่าร้าน เรียงรายอยู่ริมถนน แต่ละร้านเดินเข้าไปจะขายของสดเป็นหลัก และก็มีพวกอาหารทะเลแห้งบ้าง ส่วนหน้าร้านก็จะขายพวกปิ้งย่าง พวกเราซื้อซุปปูมากินแบ่งกัน นั่งกินแถวนั้น กินเสร็จก็ออกเดินทางต่อ

วิ่งถนนเลียบชายทะเลไปเรื่อย ทำให้เห็นทะเลญี่ปุ่นบ้าง ทะเลช่วงนี้ น่าจะลงเล่นไม่ได้ เป็นทะเลแบบไม่มีหาด คลื่นลมก็ดูแรง

Niigata 

ขับมาเรื่อยๆจนเข้าสู่เขตเมือง Niigata ไปเช็คอินที่ Juraka Stay Niigata ตอนนี้ฝนเริ่มตกหนัก เอากระเป๋าลงที่โรงแรมเปียกนิดหน่อย

จากนั้นด้วยความที่ยังอื่มกันอยู่ ก็เลยไปชมวิวกันต่อที่จุดชมวิวฟรีของเมืองที่ Toki Messe ที่เป็น Convention center ของเมือง ฝนหยุดตกแล้ว ทำให้เห็นวิวของเมืองได้ชัด เห็นตุ๊กตานก Toki ซึ่งเป็นนกที่เคยอาศัยอยู่มากมายในแถบนี้แต่ได้สูญพันธุ์ไป จนตอนหลังได้มีความพยายามที่จะเพาะพันธุ์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีอยู่ที่เกาะ Sado ในจังหวัด Niigata

 อาหารเย็นวันนี้มากินปลาดิบที่ร้าน Marui เชฟที่นี่ดูอัธยาศัยดีมาก พูดคุยกับลูกค้าทุกคนที่เข้าร้าน เสียดายที่เชฟพูดได้แต่ภาษาญี่ปุ่น พวกเราเลยเป็นโต๊ะเดียวที่เชฟคุยด้วยได้นิดเดียว เชฟน่ารักมีความพยายามอย่างมาก ตอนเอาซูชิมาเสิร์ฟ พยายามเอาแผ่นพับที่มีชื่อปลาเป็นภาษาอังกฤษมายืนอ่าน อธิบายให้เราฟัง พอเราเรียกชื่อปลาเป็นภาษาญี่ปุ่นให้เชฟฟัง เชฟดูถูกใจ แถมซูชิปูมาให้หนึ่งคำ 

กินข้าวเสร็จเดินเล่นต่อในเมืองอีกนิดหน่อย แล้วถึงกลับเข้าโรงแรม ก่อนเข้านอนไปจองอาหารเช้าที่โรงแรมไว้ด้วย โรงแรมโฆษณาไว้ดิบดีว่าใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ทำให้รู้สึกว่าพลาดไม่ได้ แถมราคาก็ย่อมเยาแค่หนึ่งพันเยนเอง

 

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!

Comments are closed.