Day 5 Niigata – Fukushima – Tochigi (~213 km)
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมากินอาหารเช้าที่โรงแรม คึกคักมาก แต่ไม่มีคนต่างชาติเลยมีแต่คนญี่ปุ่น อาหารดีมากสมคำโฆษณา มีข้าว ซุป ปลา ผักดองตามสไตล์อาหารเช้าญี่ปุ่นตามโรงแรม เพียงแต่ดูเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นมากกว่า
ออกเดินทางต่อไปที่ Pia Bandai เป็นท่าเรือ มีตลาดปลาอยู่ ฝนปรอยๆเล็กน้อย พวกเรามาถึงตอนเก้าโมงเช้า ตอนที่ร้านเริ่มเปิดพอดี ข้างในมีขายของสด ของแห้ง รอบๆบริเวณก็มีร้านอาหารอยู่บ้าง ประมาณสิบกว่าร้าน แต่ตอนที่ไปถึงร้านยังเปิดไม่ครบเลย มีแค่ส่วนที่ขายของสดกับของแห้งที่เปิด พื้นที่ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ในแอร์ เดินสบายไม่เปียกฝน
ตามสไตล์บ้านเราไม่พ้นที่จะซื้ออาหารทะเลแห้ง ติดไม้ติดมือกลับมา ขนมท้องถิ่นประจำ Niigata ที่ได้กินอีกอย่างคือ Sasa Dango เป็นแป้งข้าวเหนียวนุ่มๆข้างในเป็นไส้ถั่วแดง หอมอร่อยไม่หวาน
Agano
ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง พ่อพูดขึ้นมาถึงทะเลสาบที่เคยดูในทีวีว่าที่ทะเลสาบมีหงส์บินมารวมตัวกันหลายพันตัว จริงๆก็ไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้ แต่ดูแล้วอยู่ไม่ไกลก็เลยแวะไปดูสักหน่อย ไปถึงด้วยความที่ไม่ใช้หน้าหนาวที่หงส์บินมา บวกกับฝนตก เลยเหลือหงส์ให้ดูอยู่แค่สิบตัว เป็นการดูแบบง่ายๆ คือขับรถไป เปิดหน้าต่างดู เสร็จแล้วก็ขับรถออกมาก ไม่ต้องเปียกฝน
Aizuwakamatsu
ระหว่างขับรถจะไป Ōuchi-juku ก็เห็นป้ายตลอดทางว่ามีปราสาท Tsuruga เลยคิดว่าลองแวะไปดูดีกว่า พอมาถึง ฝนก็หยุดตกพอดี เดินดูปราสาทได้สบายๆ อากาศเย็นกำลังดี ตัวปราสาทสีขาวตัดกับหลังคาสีแดงโดดเด่น อ่านดูพบว่าปราสาทนี้เป็นฐานที่มั่นของซามูไรกลุ่มท้ายๆในญี่ปุ่นในช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากยุค Edo มาเป็น Meiji ภายในปราสาทมีจัดแสดงเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของซามูไร ที่จุดสูงสุด เป็นจุดชมวิวมองลงมาเห็นเมืองด้านล่าง เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองซามูไร ดูจากแผ่นพับแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต สำหรับมาชมดอกซากุระ จากในรูปทั้งสวนจะเต็มไปด้วยดอกซากุระ สวยงามมาก
ที่ร้านขายของที่ระลึกเห็นมีตุ๊กตาตัวนึงเป็นสีแดงๆ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นตุ๊กตาหมู ปรากฎว่ามาเสริ์ชดู ถึงรู้ว่าเป็นวัวแดง เรียกว่า Akabeko ซึ่งถือเป็นของเล่นเก่าแก่ของพื้นที่นี้ และยังมีความเชื่อว่าเป็นเครื่องรางเพื่อให้เด็กมีสุขภาพที่แข็งแรงเหมือนวัวด้วย โดยปัจจุบันก็เลยถูกใช้เป็นมาสคอตประจำเมืองไป
นอกเหนือจากตัวปราสาทแล้ว ภายในบริเวณปราสาทยังมีศาลเจ้า เข้าใจเอาเองว่าเป็นว่าเป็นศาลเจ้า Inari เพราะมีเสาสีแดง และสุนัขจิ้งจอกเฝ้าอยู่ ถึงแม้ว่าตอนแรกไม่แน่ใจว่าใช่สุนัขจิ้งจอกรึป่าว เพราะว่าดูดุและน่าเกรงขามกว่าที่ศาลเจ้าอื่น
ถัดมาเป็น Rinkaku Teahouse โดยค่าเข้าชมได้ถูกรวมไว้ในตั๋วแล้ว พื้นที่จัดแสดงได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการชงชาในสมัยโบราณ พร้อมทั้งมีให้เสียตังเพิ่มเพื่อชิมชากับโมจิในสวนด้วย ชาหอมอร่อยดี เข้ากับบรรยากาศ สรุปว่าการแวะมาที่ปราสาทนี่ก็ไม่เสียเที่ยว จากที่ไม่ได้ตั้งใจจะแวะมา เดินเล่นเพลินๆอยู่ได้เกือบชั่วโมง ก่อนออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไป
บ่ายโมงกว่าได้เวลาอาหารกลางวันพอดี แวะกินอาหารกลางวันที่ร้าน Misawaya อยู่ใน Ōuchi-juku เลย ร้านนี้เป็นร้านดัง เพราะเป็นร้านต้นตำหรับของ Negi Soba เป็นโซบะที่ใช้น้ำซุปหัวไชเท้า โรยปลาแห้งอยู่ด้านบน ไฮไลท์น่าจะเป็นต้นหอมญี่ปุ่นที่ใส่มาด้วย โดยสามารถใช้เป็นทั้งตะเกียบและกินเพื่อเพิ่มรสชาติไปในคราวเดียวกัน เพิ่มความกลมกล่อมให้กับโซบะมากขึ้น เมนูนี้จัดว่าดีเลย กินแล้วรู้สึกสดชื่นเบาๆ นอกจากนี้ ทางร้านก็ยังมีเมนูอื่นที่อร่อยไม่แพ้กันด้วย ไม่ว่าจะเป็นปลาย่าง เทมปุระ ข้าวหน้าไข่ดิบ
อิ่มท้องแล้วก็เดินเล่นต่อได้ Ōuchi-juku เป็นหมู่บ้านโบราณตั้งแต่สมัยเอโดะ เดิมเคยเป็นหมู่บ้านที่นักเดินทางต้องแวะมาพักก่อนเดินทางต่อไป เพราะอยู่ใกล้เส้นทางหลัก ปัจจุบัน เปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่นี่เดินเล่นได้สบายๆ ได้บรรยากาศโบราณดี ตลอดเส้นทางจะเต็มไปด้วยบ้านโบราณที่มุงหลังคาด้วยหญ้าคา โดยบ้านแต่ละหลังก็จะเป็นร้านขายของ ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกหรือของกิน
เดินจนสุดเส้นทาง และไต่ขึ้นบันไดไปอีกนิดหน่อย ก็จะเจอศาลเจ้าอยู่ด้านบน พร้อมกับได้ชมวิวหมู่บ้านจากมุมสูง ณ จุดนี้แม้ว่าทางขึ้นจะไม่ไกลมากนัก พ่อก็ขอยอมแพ้เดินเล่นรออยู่ด้านล่างแทน
ออกเดินทางต่อ ตอนนี้ท้องฟ้าสดใสอย่างเต็มที่ วิวทิวทัศน์สองข้างทางสวยงาม เป็นวิวทิวเขาตัดกับทุ่งหญ้า ก่อนเข้าถึงที่พักวันนี้ เหมือนขับรถข้ามทะลุเขาหลายลูก ทางมีแต่การเข้าอุโมงค์ อุโมงค์เยอะมาก บางอุโมงค์ก็ยาวเป็นกิโลๆ
Nikko
และแล้วก็มาถึงที่พักของวันนี้ Honke Bankyo โดยบรรพบุรุษของเจ้าของโรงแรมเป็นทหารที่แพ้สงครามและหนีมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ และค้นพบน้ำพุร้อน Yunishigawa ตั้งแต่ช่วง 800 ปีที่แล้ว กาลเวลาผ่านมาจนถึงปีค.ศ. 1666 ต้นสมัยยุคเอโดะ ที่พักนี้จึงถูกสร้างขึ้น และอยู่มาถึงปัจจุบัน ซึ่งบริหารงานโดยลูกหลานรุ่นที่ 25 ของผู้คนพบบ่อน้ำพุร้อน ต้องขอบอกว่าถึงแม้โรงแรมจะมีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน แต่พอเข้ามาพักแล้วรู้สึกได้ว่าเค้ามีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ที่พักและ Facilities ต่างๆอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน แถมยังได้กลิ่นอายของประวัติศาสตร์อยู่รอบๆด้วย
การดูแลของพนักงานก็ดีมาก ตั้งแต่มาถึงก็มีคุณป้ายืนรอรับ แถมหิ้วกระเป๋าให้จากที่จอดรถเข้าไปไว้ในห้องนอนให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนที่จะเช็คอินเสร็จ คุณลุง Reception ให้เลือกเวลาอาหารเย็นและอาหารเช้าที่จะมากิน พร้อมนัดแนะให้มาเจอก่อน 5 นาทีที่ Lobby เสร็จสิ้นการเช็คอินเรียวกังแห่งนี้ต้อนรับด้วยการลั่นกลองของพนักงาน พร้อมกับพาเดินไปส่งที่ห้องอย่างอบอุ่น
ห้องที่เลือกไว้เป็นห้องที่รวมห้องอาบน้ำในตัว ก็จะมีทั้งส่วนฝักบัวและส่วนอ่างอาบน้ำไม้ให้แช่ตัวได้ในห้องเลย มองออกไปนอกห้องจะเห็นเป็นวิวสะพานไม้และลำธาร ซึ่งจะมีเสียงน้ำไหลให้ได้ยินตลอดเวลา นอกจากนี้โรงแรมยังมีพื้นที่ส่วนกลางอยู่ด้านล่าง ให้นั่งจิบชากาแฟฟรี พร้อมหน้าต่างบานใหญ่มองเห็นวิวได้อย่างจุใจ บรรยากาศดีสุดๆ
ในส่วนของออนเซ็นของที่นี่จะมีทั้งแบบรวม และส่วนตัว แบบส่วนตัวจะมีห้องให้เลือกอยู่หลายแบบ หลังจากเช็คอิน ก็มาจองเวลาแช่ออนเซ็น ครั้งนี้พ่อเลยได้แช่ออนเซ็นอย่างสบายใจ เพราะเป็นส่วนตัวแล้ว ไม่ต้องอายใครเวลาแก้ผ้า Private onsen ของที่นี่จะอยู่ติดกับริมลำธารเลย แช่ไปเห็นวิวต้นไม้และลำธาร บวกกับฟังเสียงน้ำไหล ชิวสุดๆ แช่ Private เสร็จยังไม่หนำใจ เราเลยขอไปแช่ต่อที่แบบรวม ตอนไปเป็นเวลาหกโมงเย็นพอดี เข้าใจว่าคนอาจจะเริ่มไปทานข้าวกันหมดแล้ว ก็เลยกลายเป็นไม่มีคน เหมือนได้แช่ส่วนตัวอีก ออนเซ็นรวมของที่นี่มีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ส่วนของ Outdoor ก็จะได้บรรยากาศธรรมชาติเหมือนกับตรงส่วนของ Private onsen เลย
แช่ออนเซ็นเสร็จก็ถึงเวลาอาหารเย็น ตอนเลือกเรียวกังนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอาหาร เพราะเป็น Kaiseiki ที่หน้าตาไม่เหมือนที่เคยกิน เพราะเห็นว่ามีเตาโบราณ Irori อยู่ สองพ่อลูกมารอที่ Lobby ตามเวลานัด พนักงานพาเดินข้ามสะพานไม้ไปอีกอาคารนึง เข้ามาเห็นห้องที่มีเตาวางอยู่และให้นั่งกับกินกับพื้น เหมือนเวลาที่ดูในนั่งญี่ปุ่นแล้ว มีเตาอยู่กลางบ้าน เอาไว้ทั้งให้ความอบอุ่นและต้มน้ำทำอาหาร พนักงานพาพวกเราเดินต่อมา สรุปว่าได้กินที่ห้องส่วนตัว เป็นห้องสองที่นั่งที่เตาได้ยกระดับขึ้นมาบนโต๊ะแล้ว ดูไม่ Traditional เท่าไหร่ แต่ก็สะดวกสบายดี โดยเฉพาะสำหรับพ่อที่ถ้านั่งพื้นต้องติดพุงแน่ๆ
ต้องบอกว่าเข้ามาแล้วตื่นตาตื่นใจสุดๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ลองกินอาหารหน้าเตาแบบนี้ โดยในหลุมจะเป็นขี้เถ้าทั้งหมดและมีถ่านติดไฟวางอยู่ และก็มีอาหารเสียบไม้ปิ้งวางอยู่รอบๆถ่านนั้น ชุดอาหารถูกจัดมาอย่างสวยงามตามสไตล์ญี่ปุ่น คุณป้าพยายามมาอธิบายด้วยภาษาอังกฤษปนญี่ปุ่น รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง โดยเริ่มต้นแกให้เริ่มจากกินสาเก ถ้าเข้าใจไม่ผิดจะบอกว่าทำมาจากองุ่น จากนั้นแกก็ค่อยบอกไล่มาว่าให้กินอันไหนก่อน พอบอกเสร็จก็จะหายตัวไป กะเวลาว่าเราน่าจะกินเสร็จพอดี แกก็จะเข้ามาบอกต่อว่าให้กินอะไรเป็นลำดับ เรามีสั่งสาเกร้อนมากินด้วย โดยเค้าจะเสิร์ฟมาไหนกระบอกไม้ไผ่อันใหญ่ แล้วเหลาปลายให้เสียบลงไปในขี้เถ้าได้ เพื่ออุ่นให้ร้อนตลอด
ของไฮไลท์ที่เค้าดูภูมิใจมีสองอย่าง คือ อาหารโบราณท้องถิ่น หน้าตาเป็นไม้พายแบนๆแล้วมีเนืัอโปะอยู่ เวลากินก็รอให้มันย่างอยู่ที่เตาจนสุก แล้วเค้าจะมีไม้พายเล็กให้ตัดเป็นคำเล็กๆเข้าปาก คุณป้าอธิบายว่าเป็นไก่ไปสับทั้งกระดูกปรุงรสด้วย Miso และพริกไทย อันนี้กินดูแล้วรสชาติคล้ายๆกับทอดมัน อันดับต่อไปคือ Tochigi Wagyu เนื้อที่ขึ้นชื่อของจังหวัด อันนี้ก็อร่อยสุดๆตามมาตรฐานเนื้อญี่ปุ่น อาหารจานอื่นๆก็อร่อยดี ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ก็จะเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้ในฤดูกาล
กินเสร็จอิ่มหนำสำราญ สบายกาย สบายพุง พร้อมเข้านอน
Day 6 Tochigi – Tokyo
เช้าตื่นมา ลงไปแช่ออนเซ็นรวมอีกรอบ แล้วก็ไปกินอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ เสิร์ฟข้างวิวลำธารเดิม วิวนี้แบบดีมากๆ ดูมาตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่เบื่อ แถมโรงแรมออกแบบหน้าต่างบานใหญ่ไว้ ทำให้ชื่นชมได้อย่างชัดเจน กินเสร็จก็พร้อมออกเดินทาง คุณลุงคุณป้าหิ้วกระเป๋ามาส่งที่รถอย่างยิ้มแย้ม
ออกเดินทางต่อพร้อมกันสายฝนที่โปรยปรายมาเล็กๆ ทางเป็นทางขึ้นเขาลงเขามาเรื่อยๆ จนมาถึง Kegon Falls ที่น้ำตกนี้เค้าจะมีให้ซื้อตั๋วขึ้นลิฟต์ไปดูความงามของน้ำตกได้ ก่อนจะซื้อตั๋ว พนักงานชี้ให้ดูหน้าจอที่เห็นน้ำตกอยู่ ประหนึ่งจะบอกว่าขึ้นไปก็มองไม่เห็นอะไรนะ โอเครึป่าว เราสองพ่อลูกมองหน้ากัน ก็คิดว่ามาถึงแล้วก็ต้องลองขึ้นไปดู ก็เลยโอเค ซื้อตั๋วขึ้นลิฟต์ไป ตอนไปถึงฝนยังตกปรอยๆอยู่ แต่ก็พอมองเห็นน้ำตก น้ำตกดูยิ่งใหญ่กว่าที่คิดมาก พอตกลงมาก็จะเป็นสีฟ้าน้ำนมสวยเลย ถึงแม้จะถ่ายรูปออกมาแล้วไม่สวย แต่ที่เห็นด้วยตาก็สวยมากเลยทีเดียว ยืนๆอยู่สักพัก โชคดีฝนหยุดตก ฟ้าก็เลยเปิดขึ้นนิดหน่อย ทำให้เห็นจุดเริ่มต้นของน้ำตกด้านบนได้ชัดขึ้นเยอะเลย
ลงมาด้านล่างก็จะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ เห็นมีแต่ลิง เลยเดาว่าน่าจะเป็นสัตว์ประจำเมืองนี้ ตอนขับรถผ่านได้เห็นป้ายเตือนรูปลิง และก็เห็นลิงตัวเป็นๆอีกสองตัวตอนทางลงเขา ไม่รู้ว่าจะมีฤดูที่เหมือนบ้านเรารึป่าว ที่มีแต่ลิงเต็มท้องถนน
มาชมวิวธรรมชาติต่อที่ทะเลสาบ Chūzenji ทะเลสาบดูเงียบสงบ อากาศดี มีเรือพายตกปลาอยู่บ้างพอประปราย
จบโซนธรรมชาติ ก็มาต่อกันที่โซนมรดกโลก อันนี้มาถึงก็จะงงๆหน่อย คือหาที่จอดรถไม่เจอ ตอนแรกจะไปจอดรถที่จอดรถใกล้ๆแต่มองดูแล้วน่าจะเป็นที่จอดรถของร้านอาหารซะมากกว่า เลยไม่กล้าจอด มองไปเห็นคนวนขึ้นเขาไป รถติดยาวเหยียด ก็ไม่แน่ใจว่าเค้าขึ้นเขาไปไหนกันเลยไม่เอาดีกว่า สุดท้ายวนไปเจอที่จอดรถสาธารณะ มีรถจอดอยู่เต็มไปหมด แล้วก็มีเก็บค่าที่จอดรถ เลยเลือกจอดที่ตรงนี้เพื่อความสบายใจ แต่ข้อเสียอย่างเดียวคือ อยู่ไกลจากสะพานมากประมาณ 600 เมตรได้ จากที่จอดรถก็เดินเลียบลำธารมาเรื่อยๆ โชคดีอากาศเย็นสบายไม่มีแดด น้ำก็สวยมากเป็นสีฟ้าน้ำนม เดินมาเรื่อยๆจนถึงสะพาน ที่โซนมรดกโลกนี้จะต่างจากวัดและศาลเจ้าอื่นที่ไปมา คือจะมีการเก็บค่าเข้าชมหมดเลย ในส่วนของสะพาน Shinkyo ก็มีการเก็บค่าเข้าเหมือนกันถ้าจะเดินไปถึงตัวสะพาน แต่ถ้าไม่อยากเสียตังก็ยืนถ่ายรูปจากหน้าถนนได้ สวยเลยล่ะ ส่วนเราสองพ่อลูกเลือกที่จะตัดสินใจเข้าไป เพราะจะไปร่อนเครื่องบินกระดาษขอพร โดยเค้าจะมีเครื่องบินกระดาษพับไว้ให้แล้ว ให้เราเขียนคำอวยพร แล้วเดินไปที่สะพาน ร่อนเครื่องบินลงไปในลำธาร แถมยังมีการบอกด้วยว่ากระดาษนี้เป็นกระดาษที่ย่อยสลายได้ในน้ำ สมกับเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ
ต่อจากนั้น ก็เดินขึ้นเขาตามทางที่เค้ามีไว้ให้ เป็นบันไดสลับกับทางลาด ไม่ไกลมากนัก ก็จะถึงแหล่งรวมศาลเจ้าด้านบนเขา พอเดินขึ้นมาถึง ถึงรู้ว่าที่รถเค้าติดๆกัน ก็คือรอที่จะขึ้นมาจอดรถกันตรงนี้นี่ล่ะ เซ็งเล็กน้อย เดินมาซะไกล
เดินผ่านมาจุดแรกเจอรูปปั้นของ Shōdō Shōnin เป็นพระที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาพุทธในญี่ปุ่น และเป็นผู้ก่อตั้งวัด Rinnoji มาถึงตรงนี้ก็เกิดความงง เพราะตามแผนที่วัด Rinnoji จะต้องอยู่ด้านหลังรูปปั้น มองไปเห็นเหมือนกับมีอาคารใหญ่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ ก็คิดว่าสร้างลานจอดรถ เลยเดินตรงไปเรื่อยๆ
ตรงไปสักพัก อยู่ๆความวุ่นวายก็มาเยือน นักท่องเที่ยวหลายร้อยคนเดินกันขวักไขว่ เดินตามฝูงชนเข้าไปเรื่อยๆ ถึงรู้ว่ามาถึงศาลเจ้า Toshogu แล้ว ต้องบอกว่าที่นี่เป็นที่ที่คนเยอะที่สุดตั้งแต่ไปมาทั้งทริป แถมเป็นที่แรกที่เจอนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ ทุกที่ที่ไปมายกเว้นในโตเกียว มีแต่คนญี่ปุ่น ไม่มีคนชาติอื่นเลย และก่อนที่จะเข้าศาลเจ้าได้ก็ต้องต่อแถวเพื่อซื้อบัตร แถวซื้อบัตรแบ่งออกเป็นห้าแถว พ่อเดินมาเลือกแถวริมซ้ายสุด ที่คนดูจะน้อยที่สุด ปรากฎว่าคนน้อยสุดเพราะเป็นแถวที่เขียนว่าต้องใช้บัตร Suica ซื้อ ตอนแรกก็คิดว่าดี เพราะว่าเรามีบัตร Suica กันอยู่แล้ว แต่นึกได้ว่าเงินในบัตรไม่พอ คิดไปคิดมาก็เริ่มกลัวว่าจะต้องไปต่อแถวใหม่เพราะคนเยอะมาก และพวกเราก็ต่อแถวนี้มาสักพักใหญ่แล้ว เลยแอบไปยืนดูคนข้างหน้า ปรากฎว่าใช้เงินสดซื้อผ่านเครื่องก็ได้เหมือนกันเลยโล่งใจ ยืนๆอยู่สักพักเริ่มสังเกต แถวข้างๆที่เป็นแถวที่ต้องใช้เครื่อง เริ่มไปเร็วกว่าแถวเราเยอะ มองๆดูไปแล้วเหมือนแถวเราเครื่องจะมีปัญหา ต่อไปอีกสักพัก จนถึงคิวของสองคนก่อนหน้า คิวแรกมาคนเดียว คิวสองมากันเป็นครอบครัว กดซื้อบัตรเสร็จ ทั้งสองคิวใส่เงินเข้าไปแล้วเครื่องไม่รับ เห็นเค้าควักกระเป๋าเปลี่ยนแบงค์ไปมาอยู่นานสองนาน ปรากฎว่าเครื่องไม่รับแบงค์เค้าเลย ทั้งสองคิวเป็นคนญี่ปุ่น ก็ไม่ไปบอกเจ้าหน้าที่หรือทำอะไรนะ ยอมเดินออกไปจากคิว ทั้งที่ก็ต่อมาตั้งนาน ทีนี้พอถึงคิว พวกเราก็ลุ้นกันใหญ่ หลังจากเห็นสถานการณ์ พ่อเตรียมแบงค์ไว้เตรียมใส่ ปรากฎว่าใบแรกผ่านเข้าไปด้วยดี เหลืออีกหนึ่งใบ ลองประมาณสามสี่รอบ ยังไงก็ไม่ยอมรับ พ่อเปิดกระเป๋าเหลือแต่แบงค์หมื่นเยนอยู่หลายใบ ควักขึ้นมาเสียบเข้าไป เครื่องก็ไม่รับ พ่อไม่ยอมแพ้ คิดว่าใส่เข้าใส่ออกอยู่ประมาณ 20 ทีได้ สุดท้ายเครื่องยอมรับ สองพ่อลูกดีใจตะโกนเย่ อยู่หน้าเครื่อง เข้าใจว่าคนข้างหลังก็คงลุ้นอยู่เหมือนกัน หรืออาจจะรำคาญที่อีสองพ่อลูกนี่ไม่ยอมเลิกราซะที
ศาลเจ้า Toshogu ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่บูชาโชกุน Tokugawa Ieyasu ผู้เริ่มต้นระบบการปกครองโดยโชกุน (ยุคสมัยเอโดะ) ซึ่งระบบการปกครองนี้คงอยู่กว่า 260 ปี ต่อมา ในยุคสมัยหลานของท่านโชกุน ศาลเจ้าแห่งนี้ได้ถูกก่อสร้างเพิ่มเติม เพียงแค่ในเวลา 1 ปีกับอีก 5 เดือน ศาลเจ้าแห่งนี้มีจำนวนสิ่งปลูกสร้างกว่า 50 หลัง ใหญ่โตและสวยงามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ศาลเจ้านี้จะดูมีความแตกต่างจากศาลเจ้าญี่ปุ่นอื่นๆที่เคยเห็นมา โดยแต่ละอาคารจะเป็นไม้แกะสลักอย่างปราณีต งดงาม มีการลงสีสันสดใส และประดับด้วยแผ่นทอง แถมรูปแกะสลักยังแฝงไว้ด้วยปริศนาธรรมที่พวกเราไม่รู้เรื่องอีกมากมาย
ได้บัตรมา เดินตามฝูงชนเข้าไปเรื่อยๆก็จะได้พบกับสิ่งปลูกสร้างที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของชาติไว้เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์ห้าชั้น (Gojunoto) ประตูหน้าที่มียักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองด้าน (Omotemon) คอกม้าที่มีรูปลิงปิดหู ปิดตา ปิดปากอันโด่งดัง (Shinkyusha & Sanzaru) เพิ่งรู้ว่าเค้าแกะสลักเป็นรูปลิงเพราะเค้าเชื่อว่าลิงเป็นผู้พิทักษ์ของม้า โรงเก็บของของซามูไร (Sanjinko) ที่มีรูปแกะสลักช้างในจินตนาการอยู่ด้านบน
ไฮไลท์ที่โดดเด่นอีกจุดหนึ่งน่าจะเป็นประตู Yomeimon ซึ่งมีสิ่งแกะสลักอยู่กว่า 500 ชิ้น ซึ่งประตูนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นประตูที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น
จุดสุดท้ายที่ได้ชมคือ รูปปั้นแมว (Nemurineko) ที่ถูกแกะสลักโดยช่างแกะสลักชั้นบรมครู ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเหมือนและเป็นธรรมชาติของแมว
หลังจากเดินชมครบจนเสร็จ สองพ่อลูกก็ฝ่าฝูงชนไปถอดรองเท้าเพื่อเดินเข้าไปในตัวอาคารหลัก (Gohonsha) ที่นี่จะห้ามถ่ายรูป สองพ่อลูกโชคดีอีกแล้ว ไปปิดท้ายตอนพระกำลังจะเริ่มทำพิธี ได้เข้าไปนั่งรวมทำพิธีด้วย เหมือนจะเป็นการนำให้ขอพร ไหว้พระเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับกันออกมา
หลังกลับออกมา สภาพพ่อก็เหนื่อยพร้อมกลับเต็มที แถมยังนึกขึ้นมาได้อีกว่าไม่ได้สะพายกระเป๋ามา พ่อยิ่งเกิดความกังวลอยากกลับไปที่รถเร็วๆเพราะไม่รู้ว่าลืมไว้ที่ไหนรึป่าว วัดข้างๆที่แอบคิดเอาไว้ว่าถ้าพ่อไม่เหนื่อยจะชวนไปดูก็เลยอดไปโดยปริยาย เดินย้อนกลับมาทางเดิมผ่านอาคารที่คิดว่าเป็นอาคารจอดรถ มาดูใกล้ๆถึงรู้ว่าคือวัด Rinnoji ที่กำลังบูรณะปฏิสังขรณ์อยู่ เลยยืนจุดธูปขอพรอยู่ด้านนอกไม่ได้เข้าไป
กลับมาที่รถกระเป๋ายังอยู่ดี ได้เวลาไปหาทานอาหารกลางวันที่อยู่ใกล้ๆ เราไปถึงร้าน Yubatei Masudaya ประมาณเกือบบ่ายโมง ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นว่า Yuba หรือฟองเต้าหู้เป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อของ Nikko ร้านนี้ขายเป็น Kaiseki ต้องนับว่ามากับดวงจริงๆ ไปถึงที่จอดรถว่างอยู่หนึ่งคันพอดี พอเดินเข้าไปในร้าน เค้าบอกว่าตอนนี้ร้านเต็มหมดต้องรอประมาณ 20 นาที แล้วก็อาหารคอร์สพิเศษหมดแล้ว เหลือแต่คอร์สธรรมดาราคา 3,900 เยน ถามว่าพวกเราโอเคมั๊ย พวกเราก็บอกว่าโอเค รอๆ เป็นคิวแรกและคิวเดียว เพราะเหมือนทั้งร้านเค้าจะเริ่มกิน แล้วก็จะเลิกกันหมดแล้ว รอสักพักอาหารก็มาเสิร์ฟ คุณป้าร้านนี้เก่งอธิบายทุกเมนูเป็นภาษาอังกฤษได้หมดเลย อาหารรสชาติธรรมชาติ อร่อย กินแล้วสบายท้อง
กินอิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าสู่โตเกียว ตอนนี้ขึ้นแต่ทางด่วน จ่ายเงินค่าทางด่วนไปหลายพันเยน ขับไปขับมา แวะพักไปสองจุด จุดสุดท้ายที่แวะพักนี่ คือควรค่าแก่การมา ประทับใจสุดๆ ถึงกับต้องไป Search ดู จุดพักรถนี้อยู่บนทางด่วน Tohoku ขาที่จะเข้าไปโตเกียว เป็นจุดพักรถแรกของเขต Saitama เป็นจุดพักรถเมือง Hanyu ตอนจอดรถเข้าไปนี่ตื่นตาตื่นใจมาก เพราะรูปทรงอาคารเป็นแบบญี่ปุ่นโบราณหมดเลย โดยเค้าตั้งใจสร้างตาม Theme ของนิยายเรื่อง Onihei Hankachō ที่อยู่ในยุคสมัย Edo
ข้างในมีขายทั้งอาหาร ขนม ของที่ระลึก ซึ่งจัดอยู่ใน Theme ของนิยายเรื่องนี้หมด เราที่ไม่ได้รู้เรื่อง ไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร รู้แต่ว่าทุกอย่างดีงาม ดูเป็นญี่ปุ่นโบราณไปหมด ได้บรรยากาศมากๆ แม้แต่พนักงานยังแต่งตัวชุดญี่ปุ่นโบราณเลย
แถมที่นี่ยังมีขายอาหารหลากหลาย ไม่ใช่พวกอาหารเบนโตะ อุด้ง หรืออาหารง่ายๆที่ขายตามจุดจอดรถทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข้าวหน้าปลาไหลย่างสด ข้าวหน้าทูน่า หรือแม้แต่ขนมที่เค้าบอกว่าฮิตในสมัย Edo ทั้ง Kuzumochi และ Ningyōyaki ซึ่งได้ซื้อมากินทั้งสองอย่าง ตอนซื้อมาก็ไม่รู้หรอกว่าฮิตไม่ฮิต รู้แต่ว่าหน้าตาดูหน้ากินดี สุดท้ายรสชาติก็อร่อยด้วย
ขับรถต่อไปอีกสักพักก็เห็นเมืองโตเกียวอยู่ข้างหน้า ท้องฟ้าสดใสต้อนรับการกลับมาของสองพ่อลูกเลย
แวะเข้าโรงแรมก่อนเพื่อเช็คอิน Hotel Sunroute Plaza Shinjuku โรงแรมนี่คึกคักสุดๆ มีคนต่างชาติเต็มไปหมด ต่างจากทุกโรงแรมที่ผ่านมาที่จะมีแต่คนญี่ปุ่น ที่ใต้ดินของโรงแรมมีที่จอดรถแบบเสียเงิน ทำให้สามารถจอดรถขนของขึ้นห้องได้สบายๆ ของเยอะมากจากการช้อปปิ้งของกิน หลังจากเก็บของเรียบร้อยก็ถึงเวลาไปคืนรถ โดยที่คืนรถอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมประมาณ 500 เมตร
คืนรถเสร็จก็ได้เวลาไปกินอาหารเย็น เลือกที่จะเดินไปที่ย่าน Omoide Yokocho ซึ่งอยู่ทางด้าน West Shinjuku เดินจากโรงแรมซึ่งอยู่ตรง South Shinjuku ไปก็เกือบ 800 เมตร ระหว่างเดินไปคนก็เยอะสุดๆ เดินผ่านแต่ห้างๆๆ ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นเหตุผลหลักของการจองโรงแรมอยู่แถวนี้ เพราะเผื่อให้พ่อได้เดินเล่นซื้อของใกล้ๆโรงแรม
ย่าน Omoide Yokocho เป็นย่านที่เกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นย่านที่เป็นตลาดมืดในยุคนั้น จนกาลเวลาผ่านมากลายเป็นแหล่งรวมร้านอาหารอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ย่านนี้ก็จะเป็นตรอกแคบๆยาวๆ สองฝั่งข้างทางจะเป็นร้าน Izakaya ทุกๆร้านดูขายเหมือนกันหมด ร้านมีทั้งแบบมีแอร์และไม่มีแอร์ ที่นั่งจะเป็นแบบบาร์แคบๆ ร้านนึงนั่งได้ไม่เกิน 10-20 คน ทุกร้านมีลูกค้าเต็มแน่นร้านหมด ผสมกันทั้งคนญี่ปุ่นและต่างชาติ เดินวนไปวนมาดูว่าจะกินที่ร้านไหนดี พ่อดูไม่ค่อยถูกใจ เพราะทุกร้านดูนั่งเบียดๆไม่สบาย ตัดสินใจกันว่าจะออกไปกินตรงอื่นแทน สุดท้ายเดินวนอีกรอบไปที่ตรอกข้างๆที่ขนานกัน ตรงนี้หน้าตาร้านจะเปลี่ยนไปแล้ว คือเป็นร้านอาหารติดแอร์และมีโต๊ะให้นั่งแบบของใครของมัน แต่อาหารที่ขายก็ยังเป็น Izakaya เหมือนกันหมด ก็เลยสุ่มเลือกเข้าไปกินดู ร้านที่เลือกนี้มีการเรียกเก็บค่าเข้าก่อน บอกว่าเป็นค่า Appetizer ไม่ได้เก็บแพงมากแค่คนละ 300 เยน ในร้านก็คนเต็มเหมือนทุกๆร้าน อาหารรสชาติใช้ได้ตามมาตรฐาน Izakaya ทั่วไป
กินเสร็จเดินกลับมาแถวโรงแรมต่อ ใกล้ๆกับโรงแรมก็จะมีห้างใหญ่อยู่รอบๆ Lumine มี 3 ตึกทั้ง Lumine 1, Lumine 2 Lumine Est แล้วก็มี Lumine 0 ที่เป็นพื้นที่จัดแสดง อยู่บนห้าง Newoman เรียกว่าถ้าจะเดินให้ครบก็คงขาลากเลยทีเดียว ของที่ขายในห้างพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นของวัยรุ่นผู้หญิง แถมยังมีร้านอาหาร และร้านขนมเต็มไปหมดใหม่ๆ ดูเอาใจวัยรุ่นสุดๆ เดินเล่นแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ลองชิมของหวานไปหลายอย่าง อร่อยทุกอย่างเลย แต่ชอบสุดน่าจะเป็นชานมไข่มุก The Alley ที่มีความหอมกลมกล่อมของน้ำตาลทรายแดง อีกอย่างที่ชอบคือพวกร้านขนมปังสไตล์ฝรั่งเศส กินร้านไหนก็อร่อยไปหมด ซื้อขนมปังตุนเป็นเสบียงสำหรับอาหารเช้าวันพรุ่งนี้
Day 7 Tokyo
วันนี้สองพ่อลูกตื่นกันมาสายหน่อยประมาณเจ็ดโมงกว่า กินขนมปังรองท้อง ส่วนพ่อทุกเช้า สาย บ่าย เย็น มีของกินเล่นประจำคือองุ่นที่เก็บมาจากสวน กินได้ทุกวันไม่ว่าจะตอนขับรถ หรืออยู่ในโรงแรม กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด คุ้มสุดๆ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ออกจากโรงแรมไปที่ตลาดปลา Tsukiji โดยตลาดปลา Tsukiji ได้ประกาศปิดตลาดด้านในที่ขายของสด และการประมูลปลาย้ายไปอยู่ที่ใหม่ที่ตลาด Toyosu แทน โดยจะปิดตลาดด้านในอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ตุลาคม 2561 เอาจริงๆวันที่ไปก็ไม่ได้สนใจแวะไปเดินดูตลาดด้านในเลย เดินตรงดิ่งไปยังตลาดด้านนอก ที่เป็นแหล่งรวมของร้านอาหาร โดยด้านนอกนี้ก็จะแบ่งเป็นซอย แต่ละซอยก็จะมีทั้งร้านอาหารแบบนั่งกิน ร้านข้างถนน หรือร้านขายของแห้ง พวกเราไปถึงประมาณสิบโมงกว่า คนพลุกพล่านมาก
ความตั้งใจคือ จะไปกินข้าวหน้าหอยเม่นที่ Sushikuni ร้านเปิด 11 โมง ตอนไปถึงแวะไปดู ก็ยังไม่มีคิว เลยไปเดินเล่น ชิมปู ชิมหอยนางรม หอยนางรมที่นี่เด็ดมาก มีให้เลือกหลายขนาด หลายราคา ซื้อมากินกันคนละตัว ดีมาก ตัวใหญ่เท่ามือ รสชาติอร่อยสุดๆ เดินกลับมาถึงหน้าร้าน 10.30 น. ไม่รู้คนมาจากไหน เข้าคิวเต็มเลย โชคดีคิวยังไม่เต็มมาก รอประมาณ 10 นาที ก็ได้รับบัตรคิว พอได้บัตรคิวเสร็จ เค้าบอกว่าให้กลับมาอีกทีตอนร้านเปิด ก็เลยไปเดินเล่นกันต่ออีกพักนึง กลับมาเค้าก็เรียกเบอร์ แต่ไม่รู้ว่าเค้าเรียกตามอะไร เพราะเรียกเบอร์กระโดดไปมา โชคดีที่ได้เข้าไปเป็นคิวรองสุดท้ายก่อนร้านเต็ม สรุปเข้ามาแบบงงๆ ทั้งร้านทุกโต๊ะเป็นคนจีนหมดเลย สงสัยจะฮิตในหมูคนจีนมาก นั่งรอไม่นาน อาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟ ข้าวหน้าหอยเม่นนี่ถือว่าอร่อยมาก หอมๆมันๆ เมนูอื่นที่สั่งมาก็ดี ระหว่างนั่งข้างหน้าร้านก็มีคนมาต่อคิวเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน เห็นคนญี่ปุ่นมาอยู่ไม่กี่คน
กินเสร็จก็เดินทางกันต่อ ขากลับลงสถานีรถไฟคนละสถานีกับขามา ทำให้สะดุดตากับรูปปั้นรูปนึงโดยบังเอิญ อ่านดูที่ป้ายเป็นรูปปั้นของ Shiran Shonin ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกายสุขาวดีใหม่ (Jodo Shin) และอาคารหลังใหญ่ที่อยู่ด้านหลังคือวัด Tsukiji Hongan-ji ซึ่งหน้าตาแตกต่างจากวัดในนิกายมหายานและเถรวาทที่คุ้นเคย ในความรู้สึกของเรารู้สึกว่าวัดหน้าตาดูได้รับอิทธิพลจากทางตะวันตก แต่เค้าบอกว่าจริงๆคือได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาของอินเดียโบราณ
โผล่จากรถไฟมาที่สถานี Omatesando เดินเล่นนิดหน่อย อยู่ๆแดดก็เริ่มออก อากาศร้อนเลย แวะไปกินกาแฟที่ Koffee Mameya ที่เปลี่ยน Concept ร้านมาเน้นเป็น Bean specialty แทน จากเดิมที่ใช้ชื่อ Omatesando Koffee ที่เน้นด้านเครื่องดื่มมากกว่าเมล็ดกาแฟ ร้านมีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากหลาย ไม่มีที่นั่ง แต่มี Barista หนุ่มญี่ปุ่น พูดภาษาอังกฤษเก่ง ชวนคุยเพลินๆระหว่างยืนจิบกาแฟแทน
เดินต่อไปจะไปที่ร้าน Domique Ansel ร้านขนมหวานชื่อดังจากนิวยอร์ค อยู่ๆฝนก็เริ่มตกลงมา ตอนนี้พ่อก็เริ่มดูง่วงนอน มีความงอแงอยากกลับโรงแรมแล้ว โชคดีที่ถึงร้าน มีที่ให้เค้านั่งสบายเลยเลิกงอแงไปได้แป๊ปนึง ของที่สั่งมาลองกินวันนี้เป็น Seasonal menu สำหรับช่วงหน้าร้อน อร่อยมากทั้งสองอย่างเลย
พอออกจากร้านมา ฝนหยุดตก อากาศอยู่ๆก็ดีซะงั้น หายร้อน เดินต่อไปจนสุดถนนไปขึ้นรถไฟที่สถานี Harajuku ตอนนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของทริปที่แผนตกหล่นไป เพราะจริงๆตามแผนจะต้องไปศาลเจ้าเมจิต่อ แต่ดูจากสภาพพ่อแล้ว ถ้าต้องเดินเข้าออกศาลเจ้าอีกสองกิโล คงไม่ไหวแน่ เลยคิดว่าพากลับดีกว่า
ก่อนกลับ แวะขึ้นที่สถานี Shibuya เพื่อไปทักทายน้องหมา Hachiko ผู้ซื่อสัตย์ เสร็จแล้วก็นั่งรถไฟตรงดิ่งให้พ่อกลับไปนอนพักผ่อนที่โรงแรม
วันนี้มีจองร้าน Jambo Hongo ร้านปิ้งย่างเนื้อ Kuroge Wagyu ไว้ตอนห้าโมงเย็น โดยก่อนมาให้เพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่นเป็นคนช่วยโทรจองให้ ระหว่างทางพ่อก็แอบบ่นเล็กน้อยว่าจะมากินทำไมตั้งไกล เพราะว่าต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงจากโรงแรม แถมถึงแม้ว่าจะขึ้นรถไฟได้จากสถานี Shinjuku ตรงมาลงถึงสถานี Hongo Sanchome แต่ด้วยความที่ต้องขึ้นรถไฟสาย Marunouchi ถึงแม้ว่าจะเป็นสถานี Shinjuku เหมือนกัน แต่ก็ต้องเดินจากโรงแรมมาอีกเกือบหนึ่งกิโล
ร้านนี้เหมือนจะมีอยู่หลายสาขาในโตเกียว แต่อ่านรีวิวมาบอกว่าสาขานี้เด็ดที่สุด พอมาถึงร้านก็บอกชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยความตั้งใจ คือเพื่อนใช้ชื่อของเราแต่ออกเสียงเป็นสำเนียงญี่ปุ่นให้ ปรากฏว่าเค้าบอกว่าไม่มีชื่อเรา พยายามบอกว่าเราจองที่อีกสาขานึงรึป่าว คือมีอีกสาขานึงอยู่ตรงข้าม เราก็บอกว่าไม่ใช่ เพื่อนเราจองให้สาขานี้ เค้าไล่ชื่อไปมาอยู่หลายรอบ เราสะกดเป็นภาษาอังกฤษให้เค้าก็บอกว่าไม่มี เราบอกว่างั้นขอเป็นแบบ Walk-in เลยได้มั๊ย เพราะตอนมาถึง นี่เป็นคนแรกเลย เค้าก็บอกว่าไม่ได้ เสร็จเค้าก็เลยบอกว่าขอเบอร์เพื่อนเรา โชคดีที่พอ Facebook ไปถาม แล้วเพื่อนอยู่บอกเบอร์โทรมา พอบอกมาเราก็ดูในใบจองเค้า เห็นเบอร์นึงตรงกับเบอร์เพื่อนพอดีเลย เราก็เลยชี้บอกเค้าว่าอันนี้ไง เค้าดูไม่เชื่อ เหมือนเรามั่วขึ้นมา เค้ายื่นมือมาขอโทรศัพท์ไปดู เราก็ให้ไป แล้วก็บอกว่านี่ไงเบอร์ตรงกัน เค้าก็ดูยังไม่ให้เราเข้าไปนั่ง แล้วก็บอกรอแป๊ปนึง หายตัวไปไม่รู้ไปไหน เราก็เริ่มเซ็งว่าอะไรเลขตั้ง 10 เลขตรงกัน ยังไม่ให้อีก รออยู่สักพัก อยู่ๆก็เดินมาบอกว่าเชิญ เราก็บอกไปว่านี่นั่งรถมาตั้งชั่วโมงนึงนะ เค้าก็บอกขอโทษ หลังจากนั้น ก็ถึงเป็นปกติ การบริการก็ดี มีการเอาเมนูภาษาอังกฤษมาให้ เสร็จแล้วก็เอาอีกเมนูนึงมาให้เป็นภาษาญี่ปุ่น คุยกันไปแบบงงๆ จับใจความได้ว่าเนื้อในเมนูภาษาญี่ปุ่นจะคุณภาพดีกว่า เราก็เลยมั่วๆจิ้มๆเอาในเมนูภาษาญี่ปุ่นมา 3-4 จาน และก็สั่งเมนูพิเศษของร้านที่เป็นเนื้อส่วนพิเศษเขียนไว้ว่าราคา 1900-2300 เยนต่อชิ้น
พนักงานทยอยเอาเนื้อมาเสิร์ฟ โดยเสิร์ฟแต่ละครั้งก็จะมาบอกว่าเนื้ออันไหนปิ้งด้านละกี่วินาที มี 10 วินาที 30 วินาทีต่อด้าน เสร็จก็เอาเมนูพิเศษมาเสิร์ฟ กำชับสองสามรอบว่าไม่ให้ปิ้งเอง เดี่ยวเค้าจะมาปิ้งให้ เนื้อทุกจานอร่อยหมดเลย โดยเฉพาะเมนูพิเศษ ที่นี่เค้าจะให้มีให้สั่งเนื้อมาจิ้มไข่ดิบด้วย เคยเห็นหลายร้านที่ไปกินแล้ว แต่ไม่เคยลองสั่งมากิน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สั่งมาลอง รู้สึกว่ามันอร่อยดี ยิ่งทำให้เนื้อรสชาติกลมกล่อมมากขึ้น สรุปว่าจบไปด้วยดี พ่อก็แฮปปี้บอกว่าคุ้มที่นั่งรถมากิน
ขากลับลงสถานี Shinjuku อันไกลๆอันเดิม ที่อยู่ติดกับ Isetan เลยได้โอกาสแวะเดินเล่นชั้นใต้ดินช้อปปิ้งขนมกลับบ้าน
Day 8 Tokyo
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมากินขนมปังในห้องเหมือนเดิม วันนี้ออกมาข้างนอกปุ๊ป รู้ได้ถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป วันนี้อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้ามีเมฆไม่มีแดด น่าจะประมาณ 20 กว่าองศาต้นๆ จุดหมายแรกคือการไปชมวิวบนชั้น 45 ของตึก Tokyo Metropolitan Government ที่อยู่ใกล้กับโรงแรมมาก นั่งรถไฟมาแค่สถานีเดียว แถมเป็นสถานีที่ติดกับโรงแรมแค่ 20 เมตร มาถึงตอนก่อนจะเปิดประมาณ 10 นาที มีนักท่องเที่ยวยืนต่อคิวก่อนหน้าประมาณ 50 คนได้ แต่รอไม่นานเลย พออีก 5 นาที 9 โมงเค้าก็เริ่มเปิดให้เดินขึ้นลิฟต์ไป วันนี้ฝั่งที่ได้ขึ้นเป็นฝั่งด้านเหนือ คนเค้าบอกว่ามี 2 ฝั่งคือเหนือกับใต้ แต่บอกว่าขึ้นฝั่งไหนก็ได้คล้ายๆกัน
ชมวิวเสร็จก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับมาแถวโรงแรม แล้วก็ไปเดินเล่นอยู่ที่ Takashimaya Times Square เดินเล่นทั้งห้าง ห้างนี้ดูจะเป็นแนวผู้ใหญ่ๆขึ้นมาหน่อย แล้วก็มีของหลากหลายมากกว่า แต่ก็จะดูไม่ทันสมัยเท่า Lumine แต่จุดที่ใช้เวลาอยู่นานมากสุดก็คือ ชั้นใต้ดินที่ขายขนมและอาหาร สองพ่อลูกก็ยังสามารถช้อปหาของกลับบ้านได้ต่อ ทีเด็ดอีกอย่างของที่นี่ เข้าใจว่าน่าจะเป็นชั้นร้านอาหาร เพราะที่นี่เปิดมานาน ทำให้มีร้านอาหารเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือร้านข้าวหน้าปลาไหล Akasaka Fukinuki ที่นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแผนจากที่วางไว้ เพราะพ่อชอบกินปลาไหลทะเลมากกว่า ตอนแรกเตรียมร้านปลาไหลทะเลไว้ แต่ว่าอยู่ไกลไปอีกประมาณ 45 นาที ด้วยความที่พ่อดูเหนื่อยแล้ว เลยหาร้านใกล้เป็นร้านปลาไหลน้ำจืดมาแทน สุดท้ายก็ไม่ผิดหวังพ่อกินอย่างเอร็ดอร่อย ชุดที่พ่อสั่งเป็นชุดที่สามารถให้ลองกินปลาไหลได้ใน 3 รูปแบบ คือ กินแบบธรรดา กินแบบใส่สาหร่าย ต้นหอม วาซาบิ และกินแบบใส่เครื่องปรุงทั้งหมดพร้อมซุป สรุปพ่อบอกว่าชอบแบบกินใส่ซุปมากที่สุด
กินเสร็จก็เดินเล่นต่ออีกนิดหน่อย ได้เวลาใกล้บ่ายโมง เดินกลับไป Check-out ที่โรงแรมที่ขอเป็น Late check-out ได้นานสุดเท่านี้ ฝากกระเป๋าไว้กลับโรงแรม แล้วก็ออกมาเดินเล่นต่อรอบๆ หลักๆคือเดินแต่ตรงของกิน ไม่ได้ไปเดินดูอย่างอื่น
พักกินของว่างเบาๆก่อนกลับ เป็นร้านขายหอยนางรมที่มาจากสิงค์โปร์ มีหอยนางรมจากหลายแหล่งในญี่ปุ่นให้ชิม
ใกล้เวลาที่จะต้องขึ้นรถไฟ Narita Express ที่จองไว้ตอนบ่าย 3.40 น. เดินกลับโรงแรมไปเอากระเป๋าลากมาที่สถานี ก่อนกลับไม่ลืมที่จะคืนบัตร Suica เอาเงินที่เหลือในบัตรคืนมา รถไฟมาตรงเวลา สองพ่อลูกขึ้นรถไฟ นั่งตรงดิ่งสบายสู่สนามบินนาริตะ
Air Asia X เช็คอินที่ Terminal 2 ที่นี่ดูจะเข้มงวดด้านน้ำหนักกระเป๋าขอให้ชั่งน้ำหนักกระเป๋าทุกใบ รวมทั้งที่จะสะพายขึ้น น้ำหนักกระเป๋าของเรา 21 กก. เกินมา 1 กก. แต่คิดว่าเค้าไม่ว่าเพราะเค้าอาจจะเฉลี่ยเอา เพราะของพ่ออยู่ที่ 18 กก. ส่วนน้ำหนักกระเป๋าที่เอาขึ้นเครื่องก็ไม่เกิน 7 กก. อันนี้สองพ่อลูกลองชั่งที่โรงแรม เตรียมตัวกันมาก่อนแล้ว เช็คอินเสร็จก็ไปเดินดูร้านอาหารด้านบนก็เข้าไปที่เกท ด้านบนมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ร้านที่ดูน่ากินสุดเห็นจะเป็นร้านราเมง Kookai ถึงจะเป็นคนไม่ชอบกินราเมงเท่าไหร่ แต่ร้านนี้ก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลย
กินเสร็จเดินเข้าไปในเกท ก็ปิดท้ายด้วยของหวาน ไอติม Creamia สุดอร่อย แถมด้วยการช้อปปิ้งขนมอีก ก่อนขึ้นเครื่องเที่ยวบิน XJ607 ตอนสองทุ่ม กลับถึงไทยโดยสวัสดิภาพ ขากลับนี่เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้ศุลกากรโหดขึ้น บอกให้ทุกคนเอากระเป๋าเข้าเครื่องแสกน โชคดีครั้งนี้มีแต่การช้อปปิ้งของกิน เลยไม่ต้องกังวลว่าจะโดนเก็บภาษีอะไรรึป่าว
ทริปนี้ก็เป็นทริปที่น่าประทับใจอีกหนึ่งทริป เป็นทริปที่ได้ใช้เวลากับพ่ออย่างเต็มที่ ได้เห็นญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆจากการขับรถเที่ยวเอง ญี่ปุ่นสำหรับเราก็ยังคงเป็นประเทศที่มาทุกครั้งก็มีความสุขทุกครั้ง คงจะเป็นเพราะของกินแสนอร่อยที่มีอยู่ในทุกมุมเมือง คนญี่ปุ่นก็ยังคงดีเหมือนเดิม ดูมีความเต็มใจที่จะช่วยเหลือตอบคำถาม แม้ว่าจะเป็นการช่วยแบบพูดภาษาญี่ปุ่นใส่เรารัวๆทั้งๆที่ก็รู้ว่าเราฟังไม่รู้เรื่อง ครั้งนี้คิดว่าเจอคนยอมพูดภาษาอังกฤษเยอะขึ้นจากแต่ก่อนเยอะเลย คงเป็นความน่ารักที่เค้าพยายามที่จะสื่อสารกับต่างชาติอย่างเราๆบ้าง สุดท้ายถึงทริปนี้จะเริ่มต้นจากความกังวลเรื่องสภาพอากาศ แต่ก็จบลงด้วยดี อากาศเป็นใจให้เที่ยวได้อย่างราบรื่นในทุกๆวัน สงสัยต้องหัดเลิกกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงสักที สรุปว่าคงได้เจอกันใหม่นะ ญี่ปุ่น
Comments are closed.