รถไฟ ไปไหนดี

เราไปเที่ยวรถไฟท่องเที่ยวกาญจนบุรีกันเถอะ เป็นจุดเริ่มต้นของทริปครั้งนี้ที่เกิดจากความอยากไปนั่งรถไฟเที่ยวหลังจากที่เห็นพี่ที่ทำงานโพสต์รูปที่ไปเที่ยวลงในช่วงบ่ายวันเสาร์

“เต็มค่ะ” เป็นเสียงที่ปลายสายจากการรถไฟบอกมา เราสองคนเห็นพ้องต้องกันว่าไม่มีทางหรอกที่รถไฟจะเต็ม (มารู้ทีหลังว่ารถไฟท่องเที่ยวเนี่ยเค้าจองกันเป็นเดือนๆนะ) จึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เราจะไปที่หัวลำโพงซื้อตั๋วรถไฟเลย ยังไงก็ได้ไปแน่ๆ


เช้าวันอาทิตย์ เราไปถึงหัวลำโพงตอนประมาณ 6 โมงเช้า ไปต่อคิวซื้อตั๋วรถไฟท่องเทียว คำตอบที่ได้รับกลับมาทำเอาหงายเงิบ “เต็มครับ” ทริปรถไฟท่องเที่ยวกาญจนบุรีจบลงอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นความตั้งใจว่าจะต้องนั่งรถไฟท่องเที่ยวให้ได้ยังไม่จบ เราสองคนเดินไปดูที่ชานชาลาที่รถไฟท่องเที่ยวจะออก รถไฟก็ไม่เห็นเต็ม อยากจะลองไปถามนายสถานีว่าทำไมรถไฟไม่เต็ม ขอไปด้วยคนได้มั๊ย แต่ใครบ้างคนห้ามไว้ สุดท้ายเลยคิดขึ้นมาได้ว่าไปไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร มาทำรถไฟท่องเที่ยวของตัวเองก็ได้ เลยไปยื่นต่อคิวถามข้อมูล พร้อมบอกเจ้าหน้าที่ว่า ไปไหนก็ได้ค่ะที่ออกเที่ยวต่อไป แล้วกลับมากรุงเทพฯทันวันนี้ เจ้าหน้าที่ทำหน้าเอือมระอา พร้อมบอกต้องรู้ก่อนนะคะว่าปลายทางจะไปที่ไหน เหลือบมองเห็นว่ารถไฟเที่ยว 6 โมง 40 ออกไปอุบลฯ เลยบอกว่าไปอุบลฯค่ะ เจ้าหน้าที่ให้แผ่นพับสารพัดประโยชน์มาหนึ่งใบ เป็นตารางเดินรถไปกลับจากกรุงเทพฯไปอุบลฯว่าจอดที่สถานีไหนบ้าง สุดท้ายมองไปเห็นคำว่าอยุธยา อยู่ใกล้นิดเดียว จึงไปต่อคิวซื้อตั๋ว ทริปรถไฟไปอยุธยาจึงเกิดขึ้น (รถไฟชั้น 3 ไปถึงอยุธยาราคา 20 บาทเท่านั้น)

ก่อนเริ่มทริป ก็ต้องมีของกินสุดเจ๋ง เดินเข้าร้านซื้อมาม่าคัพ ขนมจีบกับน้ำเปล่า เดินมาถึงชานชาลาเกือบ 6 โมง 40 คนไม่ค่อยพลุกพล่าน ทุกคนนั่งอยู่บนรถไฟเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก เลยชวนกันขึ้นไปนั่งรอบนรถไฟ นั่งไม่ถึง 10 วินาที รถไฟออก เป็นความโชคดีที่ขึ้นมาไม่งั้นคงตกรถไฟแล้ว เพิ่งรู้ว่ารถไฟไทยออกรถตรงเวลาด้วย (จริงๆก็ไม่ตรงนะ ออกก่อนเวลา) รถออกไปได้ไม่นาน คนขายของบนรถไฟก็เริ่มทำงาน น้ำเย็น ผ้าเย็น ยาดม ยาหม่อง กาแฟ เอาอะไรถามได้จ้า ผ่านไปสัก 2-3 สถานี เพิ่งรู้ตัวว่าเค้ามีการ Fix ที่นั่ง แต่ของเราเป็นตั๋วยื่น พี่คนข้างๆบอกว่ายังงี้แหละ นั่งใกล้เค้าก็ให้ตั๋วยืน พี่คนนี้ใจดีมาก ชวนคุย แล้วคอยขำเราทุกสถานีที่ต้องคอยลุ้นว่าจะมีคนมานั่งที่ที่เรานั่งอยู่รึป่าว แต่สุดท้ายไม่ต้องกลัว ถึงที่นั่งจะมีเจ้าของรึป่าว เมื่อไหร่ที่ยืน จะมีคนพยายามชี้หาที่นั่งให้กับเรา คนบนรถไฟนี่ใจดีจริงๆ นั่งไปประมาณชั่วโมงกว่าก็ได้ยินเสียง

สถานีต่อไป อยุธยา

มาถึงอยุธยาด้วยความรวดเร็ว คนที่นั่งรถไฟเป็นประจำคงคิดว่ามันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่กับคนที่เป็นมือใหม่สำหรับการนั่งรถไฟถือว่ามันน่าตื่นเต้นมาก 555 สถานีอยุธยาดูมีความฮิปจากพื้นกระเบื้องย้อนยุค บวกกับมีร้านกาแฟสวยงามติดอยู่กับตัวสถานี บรรยากาศถือว่าพลุกพล่านพอตัว มีฝรั่งนักท่องเที่ยวอยู่จำนวนนึง ออกจากสถานีปุ๊ปไม่ต้องกลัวเหงา คนขับรถสามล้อจะมาคอยถามเป็นระยะๆว่าจะไปไหนรึป่าว เราคุยกันตั้งแต่บนรถไฟแล้วว่าจะเช่าจักรยานขี่ จึงพยายามมองหาแต่ป้ายเช่าจักรยาน มองไปไม่ไกล ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านเช่าจักรยาน 2-3 ร้านติดกัน เราเลือกเช่ากับร้านคุณลุงคนนึงราคาทั้งวัน 50 บาทสำหรับจักรยานแม่บ้าน และ 100 บ้านสำหรับจักรยานหน้าตามีสกุล พร้อมบอกว่าถ้ายางแตกที่ไหนจะให้โทรเข้ามาจะขับไปเปลี่ยนให้ถึงที่ ลุงให้แผนที่มา พร้อมแนะนำเส้นทางขับขี่เป็นอย่างดี ทริปปั่นจักรยานของเราเลยเริ่มขึ้น

วัดแรกที่เราแวะ คือวัดพนัญเชิง จำได้ว่าคุณลุงบอกว่าปลาเยอะ ระหว่างทางมีแต่คนขายอาหารปลา อาหารปลาที่นี่อลังการมากมีตั้งแต่หลักร้อยไปถึงหลักพัน และหลากสีสันมาก ไปถึงวัดดูเงียบๆ ขี่จักรยานเข้าไปจนสุดท่าน้ำ จอดจักรยานมองปลา หันซ้ายหันขวา แล้วไปไหว้หลวงพ่อโต เป็นอันเสร็จ

ขึ้นจักรยานปั่นไปยังจุดหมายต่อไป คือวัดใหญ่ชัยมงคล ตอนนี้เริ่มร้อนอย่างจริงจัง แดดออกแรงสุดๆ การเตรียมตัวไม่มี มีหมวกแค่ใบเดียว ในใจคิดว่าเดี๋ยวต้องดำแน่ๆ ไม่อยากปั่นต่อเลย แต่เห็นคนที่มาด้วยปั่นอย่างไม่ลดละ ดูสนุก ก็ไม่อยากขัดบรรยากาศ เลยปั่นต่อไป มาถึงวัดใหญ่ชัยมงคล จอดจักรยาน ล็อคล้อ เดินเข้าไปดู จุดเด่นอยู่ที่มีพระพุทธรูปอยู่รายล้อมรอบกำแพงด้านในเจดีย์ (เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าที่นี่ก็มีพระนอน) มองขึ้นไปมีทางให้ขึ้นไปบนเจดีย์ มองหน้ากัน คิดว่าไม่ไหว เลยเดินกลับขึ้นจักรยานเพื่อไปจุดหมายต่อไปที่คุณลุงแนะนำ คือตลาดน้ำ

ก่อนถึงตลาดน้ำ จะต้องผ่านเจดีย์วัดสามปลื้ม อย่างได้หลงกลคิดว่าเป็นเป็นวัดนะ เจดีย์วัดสามปลื้มเป็นเจดีย์ที่อยู่ตรงกลางให้รถอ้อมผ่าน ตอนไปถึงยังเถียงกันอยู่เลยว่าใช่หรือป่าว เพราะโดยส่วนตัวคิดว่ามีคำว่าวัดอยู่จะต้องมีเป็นวัดแน่นอน ไม่งั้นจะมีคำว่าวัดโผล่ขึ้นมาทำไม แต่ปรากฏว่าคิดผิดนะ การขี่รถจักรยานในถนนที่ไม่ได้สร้างไว้ให้ขี่นี่ก็ถือว่าเป็นความอันตรายอย่างนึง ประกอบกับความขี้กลัวด้วย ทำให้ติดอยู่คนเดียวข้ามผ่านไปไม่ได้ สุดท้ายต้องรอคนที่หนีข้ามไปก่อน วนข้ามวงเวียนมารับอีกรอบนึง หลังจากนั้น ความคิดจะไปตลาดน้ำก็ถูกตัดทิ้งไป เพราะข้ามไม่ได้ ประกอบกับถ้าจะไปต้องไปขี่วนมาค่อนข้างไกล เลยตัดสินใจข้ามไปจุดถัดไป

ก่อนถึงจุดถัดไป ผ่านร้านกาแฟเลยขอนั่งพักกินน้ำซะหน่อย สั่งน้ำมะนาวกับน้ำสตรอเบอร์รี่ปั่นมากินกัน สบายจนไม่อยากลุกไปไหน แดดก็เริ่มแรงมาก รู้สึกถึงความหน้าดำ แต่สุดท้ายก็ต้องไปต่อ วัดต่อไปก็อยู่ตรงข้ามร้านกาแฟเลย ชื่อวัดราชบูรณะ จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องไปแต่วัดหรอกนะ แต่ด้วยความที่มาถึงอยุธยาแล้ว ก็คิดว่าคงหนีไม่พ้นการเที่ยววัด เลยตั้งใจกันไว้ว่าต้องให้ได้อย่างน้อย 9 วัด จะได้เหมือนมี mission ให้ทำ ในส่วนของวัดราชบูรณะ ถ้ามองจากทางเข้า จะเห็นเป็นพระปรางค์ผ่านช่องประตูสวยงามทีเดียว

จุดถัดไปสุดแสนจะดีใจอยู่ใกล้แค่ถนนข้าม วัดมหาธาตุ วัดนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมาก เข้าไปมีทั้งทัวร์ฝรั่ง ทัวร์จีนลงเต็มไปหมด จุดเด่นที่ทุกคนให้ความสนใจ คือเศียรพระพุทธรูปที่อยู่ในรากไม้ ซึ่งเข้าใจว่าเกิดจากการที่เศียรพระพุทธรูปหล่นลงมาตอนช่วงเสียกรุง และมีรากไม้มาขึ้นปกคลุมจนกลายเป็นอย่างที่เห็น จากในความทรงจำคิดว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเศียรพระอันนี้ เพราะก่อนหน้านี้เคยมาทัศนศึกษากับที่โรงเรียน หรือมาอยุธยาบ้างก็ไม่คุ้นว่าเคยมาเห็นที่นี่

หลังจากดูเสร็จก็เริ่มหิวเลยตัดสินใจแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเรือป้าเล็ก พูดเหมือนรู้จักป้าแกมาก่อน แต่จริงๆก็คือเพิ่ง Search จากตอนแวะกินน้ำ แล้วเห็นว่าร้านแกอยู่ใกล้ดี เป็นความโชคดีคือ ร้านแกคนเยอะ โดดเด่นเป็นสง่า หาไม่ยาก ไปถึงได้ที่นั่งเลย สั่งมากินกัน 6 ชาม พร้อมขนมจีนอีกหนึ่งจาน เป็นความผิดหวังเพราะเป็นรสชาติก๋วยเตี๋ยวเรือแบบใส่ซีอิ้วดำหวานๆ จบไปแบบผิดหวัง ออกเดินทางต่อไปยังวัดพระศรีสรรเพชญ

วัดพระศรีสรรเพชญ ถือเป็นจุดดังและจำไม่ยาก จำได้ว่าเคยมาตั้งแต่เด็ก ด้วยการที่มีเจดีย์ 3 องค์เรียงอยู่ในระนาบเดียวกัน อากาศร้อน อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่มีร่มเงาไม้เป็นระยะๆ ข้างๆเดินถึงกัน คือวัดมงคลบพิตร ตอนช่วงที่ไปวิหารซ่อมแซมอยู่ มีการนำรูปจำลองของหลวงพ่อออกมาให้สักการะอยู่ด้านหน้า พอเราไหว้พระกันเสร็จเราก็ไปยังจุดต่อไป

วัดพระราม ถือว่าไม่ได้อยู่ในแผนของการแวะ แต่เราก็แวะกัน เพราะกลัวว่าจะทำยอดวัดได้ไม่ถึงเป้า วัดพระรามเป็นวัดเล็กๆมีพระปรางค์อยู่ตรงกลาง ลักษณะของพระปรางคล้ายกับวัดอื่นที่ผ่านมา

จากวัดนี้ ถือเป็นการปั่นที่ค่อนข้างไกล ด้วยอากาศที่ร้อน ไม่มีร่มเงาข้างทาง แต่สุดท้ายก็มาถึงวัดโลกยสุธา ความตั้งใจเดียวที่มา คือหวังว่าจะพาคนที่มาด้วยที่ไม่เคยเห็นพระนอนให้ได้มาเห็นพระนอนกับตาสักครั้ง ซึ่งเมื่อมาถึงต้องงงไปเลย เพราะพระนอนที่เคยจำได้ไม่ใช่องค์นี้ (จริงๆที่เคยเห็นเข้าใจว่าคือ พระนอน วัดใหญ่ชัยมงคล) แต่อย่างไรก็ตาม พระนอนองค์นี้ก็สวยงามมาก บรรยากาศโดยรอบก็สงบเงียบสวยงาม ไม่รู้สึกผิดหวังเลยที่มาถึง

หลังจากนั้น รู้สึกว่าพอแล้ว เพราะอากาศก็ร้อนมาก ไม่รู้สึกว่าอยากปั่นต่อ จึงตกลงกันว่าจะปั่นไปซื้อโรตีสายไหมที่หน้าโรงพยาบาลแล้วกลับกัน โดยทางผ่านเราจะผ่านเจดีย์ศรีสุริโยทัย เมื่อมาถึงหน้าเจดีย์ เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ที่ดูแตกต่างจากเจดีย์ในอยุธยาโดยทั่วไป เพราะตัวเจดีย์ดูใหม่ ทำด้วยทอง เราได้แต่มองอยู่นอกรั้วไกลๆ ไม่คิดจะเข้าไปใกล้ๆแล้ว หมดแรง หมดอารมณ์ แล้วก็เหมือนสวรรค์ประทาน รถสามล้อวิ่งผ่านหน้าไป มือก็โบกโดยอัตโนมัติ บอกคุณลุงปั่นไม่ไหวแล้ว รับขึ้นหน่อยค่ะ จะต้องไปคืนรถที่สถานีรถไฟ แต่อยากไปซื้อโรตีอะเบอร์ดีนที่หน้าโรงพยาบาล ถือเป็นจุดจบของการปั่นวันนี้อย่างไม่รู้ตัว

ด้วยเงินค่าจ้างคุณลุง 150 บาท คุณลุงพาแวะซื้อโรตี และพาส่งถึงหน้าร้านเช่าจักรยาน ทริปวันนี้จบลงเร็วกว่าที่คิด น่าจะประมาณบ่ายโมงกว่าๆ แต่ก็ถือว่าได้ไปเที่ยวครบตามที่ตั้งใจ เราสองคนไป Hostel อาบน้ำคนละ 50 บาท หลังจากนั้น เดินมาที่สถานีรถไฟ รถเที่ยวเข้ากรุงเทพฯกำลังจะมาถึงในอีก 15 นาที เราตัดสินใจนั่งรอ ทุกอย่างดูลงตัว รอไม่ทันไร รถไฟขบวนกลับเข้ากรุงเทพฯก็มาจอดเทียบชานชาลา กระโดดขึ้นรถไฟ กลับถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ จบ one day trip ของเรา ขอบคุณรถไฟไทยค่า

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!