Dawn of Happiness

ทริปนี้เป็นทริปทำบุญของบริษัท พวกเรานั่งเครื่องมาลงกันที่จังหวัดสุโขทัย ก่อนออกเดินทางไปยังโรงเรียนที่นัดไว้ พวกเราแวะเติมพลังกันที่ครัวสุโขซึ่งอยู่ใกล้สนามบิน ที่นี่บอกว่าใช้วัตถุดิบทั้งหมดมาจากโครงการเกษตรอินทรีย์ของตัวเอง ด้วยความที่ยังไม่มีใครหิวมากเลยสั่งของกินเล่น เป็นใบข้าวทอดกับหมั่นโถวน้ำพริกเผา รสชาติใช้ได้

จากนั้นออกเดินทางไปเจอน้องๆตามที่นัดแนะไว้ ตามธรรมเนียมของโรงเรียนต่างจังหวัดเวลาเราไปทำบุญจะต้องมีการแสดงท้องถิ่นต้อนรับ และมีการทำกับข้าวให้ทาน ถึงแม้ว่าก่อนไปจะมีการบอกเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องจัด แต่ทุกครั้งพอเดินทางไปถึงก็จะต้องเจอว่าทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน โรงเรียนได้ทำอาหารจัดเตรียมไว้เป็นโต๊ะๆเลย เลยไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจนั้นได้ แล้วก็ต้องดีใจที่ไม่ได้ปฏิเสธอาหารที่โรงเรียนทำ อร่อยทุกจาน โดยเฉพาะน้ำพริก กินหมดกันไปหลายถ้วยเลยทีเดียว

อิ่มท้องอิ่มใจกันเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้าโรงแรม เปลี่ยนชุดออกมาเที่ยวเล่นกันต่อ แต่ก่อนไปที่อื่น ก็ไปกินข้าวก่อนตามแผนที่วางไว้ เพราะเดิมไม่คิดว่าโรงเรียนจะเลี้ยงอาหาร ถึงแม้จะเริ่มอิ่มๆแล้ว แต่ก็ยังเสียดายอยากลองไปกินอาหารพื้นบ้านสุโขทัยกัน เลยตรงดิ่งไปยังร้านไม้กลางกรุง พอได้ชิมกันแล้วก็ผิดหวังเล็กน้อย เพราะเหมือนที่กรุงเทพจะอร่อยกว่า

แวะไปเที่ยวต่อที่วัดศรีชุม และอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย บริเวณนั้นมีตลาดให้ชาวบ้านมาขายของ ได้ลองชิมข้าวเปิ๊ปที่ถือว่าเป็นของกินท้องถิ่นอย่างหนึ่งของสุโขทัย ให้อารมณ์เหมือนก๊วยเตี๋ยวน้ำ เดินเล่นต่อจนค่ำ เลยได้รอดูการแสดงแสงสีเสียงที่อุทยานฯจัดด้วย สุโขทัยนี่ต้องบอกว่าเป็นเมืองที่เงียบมากๆ พอหลุดออกจากตรงอุทยานฯ ขับรถกลับโรงแรมนี่แทบไม่มีคน ทั้งๆที่ก็พักกันอยู่ในเมือง ถือเป็นการบังคับให้จบวันที่โรงแรมไปโดยปริยาย

วันรุ่งขึ้นคณะเกือบทั้งหมดเดินทางกลับ เหลือกันอยู่ 3 คนที่อยู่ด้วยกันต่อ โดยวางแผนจะขึ้นเขาหลวงกัน ก่อนจะขึ้นเขาหลวงเลยแวะขี่จักรยานชมอุทยานฯ ต้องถือว่าอุทยานฯกว้างใหญ่มาก มีจุดให้ชมโบราณสถานต่างๆกันอยู่หลายๆจุด

กินเสร็จแวะกินข้าวที่ร้านเจ๊แฮ ก๊วยเตี๋ยวสุโขทัย ร้านนี้โฆษณาว่าบะหมี่ทำเอง รสชาติอร่อยกว่าร้านแรก พวกเราซื้อไส้อั่วกับข้าวเหนียวที่ร้านเตรียมเอาขึ้นไปกินบนเขาด้วย

และแล้วก็ได้เวลาเดินขึ้นเขาหลวง พวกเราเริ่มเดินกันตอนบ่าย ด้วยความที่สภาพร่างกายแต่ละคนไม่พร้อมจากการดื่มหนักเมื่อคืน การเดินเขาหลวงครั้งนี้เลยลำบากกว่าที่คิด โดยตั้งแต่ก่อนมาได้ดูมานิดนึงแล้วว่าทางเดินจะต้องค่อนข้างชัน เพราะระยะทางที่เดินแค่ 3.7 กม. แต่ไต่ขึ้นระดับความสูงถึง 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่พอมาเจอของจริงความชันที่คิดไว้ในหัวนี่น้อยไปเลย ระยะทางส่วนใหญ่เป็นทางเดินชันๆแล้วก็เดินขึ้นๆๆอย่างเดียว แทบจะไม่มีทางราบ พวกเราหยุดพักกันเป็นระยะๆ บวกกับน้องในทริปเหมือนจะเมาค้างหนักเลยเดินแทบไม่ขึ้น ประมาณว่าเดิน 5 ก้าว พักเป็น 5 นาที การหยุดพักจะไม่เป็นไรเลย ถ้าไม่มียุง ปกติเราเป็นคนไปไหนก็ต้องโดนยุงกัดเยอะและก่อนใครเค้าเพื่อน เหมือนเป็นตัวดูดยุง แต่ที่นี่การทำหน้าที่ดูดยุงนี่เหมือนจะมากเป็นพิเศษ รู้สึกเหมือนว่ายุงทั้งป่าแห่กันมา ทั้งๆที่ก่อนเดินได้ฉีดยากันยุงไปแล้ว ยากันยุงที่พกมามี 3 ยี่ห้อ เข้าใจว่าไม่มียี่ห้อไหนสามารถกันยุงได้เลย ขนาดเดินไปฉีดไป ก็ไม่ช่วย ยุงที่นี่ดุมาก เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่หยุดพักจะต้องโดนกัด พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ น้องเหมือนจะถอดใจ ตอนนั้นคิดแล้วว่าถ้าจะลงก็ไม่เป็นไรเพราะน้องดูไม่ไหวจริงๆ แต่เหมือนโชคยังเข้าข้างเดินมาสักพักเจอกับเจ้าหน้าที่และลูกหาบที่เค้านั่งพักกันอยู่ในป่า จริงๆของพวกเราก็ไม่ได้หนักมากเพราะแทบไม่ได้เตรียมอะไรขึ้นมาเลย แต่การที่เอาของให้ลูกหาบแบกไป ก็ถือว่าเป็นการช่วยชีวิตให้พวกเราเดินกันได้ต่อถึงด้านบน ในส่วนของอากาศต้องถือว่าร้อนมาก ไม่ได้ร้อนแดด แต่ร้อนเพราะว่าเป็นอากาศชื้นๆ แบบว่าฝนจะตกแต่ก็ไม่ตก สุดท้ายน่าจะเดินกันไปเกือบ 4 ชั่วโมง ก็ถึงด้านบน (จริงๆถ้าร่างกายอยู่ในสภาวะปกติคิดว่าน่าจะเดินกันได้ไม่เหนื่อยขนาดนี้ 555) พอไปถึงติดต่อเจ้าหน้าที่ เค้าก็มาช่วยกางเต้นท์ที่นอนให้เรียบร้อย ฝนเริ่มตกลงมา ด้านบนนี่แทบจะไม่มีคนมาเที่ยว มีคนอยู่แค่ 3-4 กลุ่มเอง นอกจากนี้ ในส่วนของอาหารการกิน ก็ต้องพบกับความผิดหวัง ด้านบนแทบจะไม่มีอะไรขายเลย โชคดีที่มีมาม่าขาย ทำให้พวกเราสามารถกินเสริมกับข้าวเหนียวไส้อั่วที่ซื้อมาอย่างน้อยนิด พอประทังชีวิตได้ พวกเราอาบน้ำเย็นเจี๊ยบ แล้วมานั่งกันอยู่ในเต้นท์เพราะฝนตก ไม่ได้ออกไปไหนจนหลับไป

 

เช้าตื่นมาพวกเราตกลงกันจะเดินไปที่ผานารายณ์เพื่อชมพระอาทิตยขึ้น ทางเดินไปผานารายณ์ไม่ไกลเลยแค่ 400 เมตร แต่ก็ต้องพบกับความลำบาก เนื่องจากฝนตก พื้นดินหินเปียกเป็นลื่นๆไปหมด เดินค่อนข้างลำบาก เกือบลื่นล้มกันไปหลายครั้ง มาถึงผานารายณ์ วันนี้ไม่มีพระอาทิตย์ให้ดู มีแต่ทะเลหมอกกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ลมพัดแรง สลับกับฝนปรอยๆ ทุกคนยืนถ่ายรูปกันสักพัก หลังจากนั้นก็เดินกลับลงมาเก็บของเตรียมเดินลงกลับด้านล่าง

 

ทางขึ้นที่ว่ายากตอนนี้มาเจอทางลงอยากจะร้องไห้ ทางเดินลื่นมาก แถมน่ากลัว เพราะบางอันรู้สึกเลยว่าชัน แล้วถ้าลื่นลงไปก็จะตกเขา เราสามคนผลัดกันลื่นคนละทีสองทีแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร อย่างน้อยขาลงก็ไม่เหนื่อย แค่ระวังว่าจะลื่นตกเขารึป่าว สุดท้ายก็ลงมาได้โดยสวัสดิภาพ อาบน้ำล้างตัวกันที่ห้องน้ำของอุทยานฯ ขากลับคนขับรถพาแวะร้านก๊วยเตี๋ยวตาพุธ ร้านนี้คิดว่าอร่อยที่สุดตั้งแต่กินมาเลย เป็นอันปิดทริปก่อนขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ กลับบ้านเปิดดูเจอของฝากจากเขาหลวงเป็นรอยยุงกัดนับรวมได้ทั้งหมดกว่า 70 ตุ่ม ขอบคุณนะ เขาหลวง T-T

 

 

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!

Comments are closed.