Similar to Croissant, Different from Donut

Similar to Croissant, Different from Donut

เป็น Quote จากกระเป๋ารีไซเคิลที่ซื้อจาก Croatia Design Superstore ที่สนามบิน Zagreb ก่อนกลับบ้าน บ่งบอกถึงรูปทรงของประเทศโครเอเชียที่เค้าว่ากันว่าคล้ายกับครัวซองต์ แอบไปเปิดดูแผนที่ ดูยังไงก็ดูไม่ออกว่าคล้ายกับครัวซองต์ยังไง  แต่ไม่ว่ารูปทรงจะเหมือนอะไร ทริปนี้ก็ถือว่าได้เที่ยวโครเอเชียจากเหนือจรดใต้เป็นที่เรียบร้อย

ทริปนี้ไปกับพ่อกับแม่ หลังกลับมายิ่งปักใจเชื่อว่าการไปเที่ยวกับพ่อแม่นี่เหมาะแก่การซื้อทัวร์ไปที่สุด ยิ่งโดยเฉพาะกับประเทศที่มีจุดแวะเที่ยวหลายๆจุดห่างๆกัน ยิ่งถือว่าเหมาะยิ่งนัก แค่ระยะทางจากจุดเหนือของประเทศ Zagreb ตรงดิ่งลงไปถึงเมืองสุดฮิตอย่าง Dubrovnik ก็ปาเข้าไปกว่า 600 ก.ม. ไม่ต้องพูดถึงการที่จะหยุดแวะพักเมืองโน้น เมืองนี้ ที่จะออกไปซ้ายทีขวาที ก็ทำให้เพิ่มระยะทางได้เป็นกว่าอีกหลายร้อยโล ทั้งนี้ ระยะทางอาจไม่เป็นปัญหาสำหรับครอบครัวที่มีคนขับรถหลายมือ แต่สำหรับครอบครัวเรามีกัน 3 คน แถมพ่อจะต้องยืนกรานเป็นคนขับมือเดียวอีก ซึ่งเมื่อคิดถึงวัยของพ่อแล้ว การขับรถด้วยระยะทางขนาดนี้ ก็น่าจะสร้างความเหน็ดเหนื่อยได้ไม่น้อยทีเดียว

นอกจากนี้ ในด้านค่าใช้จ่าย การซื้อทัวร์ไปกับ Quality Express ทัวร์ครั้งนี้ ถือว่าคุ้มสุดๆ 8 วัน 5 คืน จ่ายไปในราคาคนละ 49,900 บาท เนื่องจากช่วงที่ไปนี้เป็นช่วงเริ่มเข้าหน้าร้อนที่เป็น High season ของที่นั่น ตอนแรกลองพยายามเลียนแบบเส้นทางของทัวร์แล้วจัดเอง ปรากฎว่าจัดยังไงก็ไม่มีทางถูกกว่า ราคาโรงแรมของโครเอเชียพวกเมืองที่ติดทะเลในช่วงนี้ราคาน่ากลัวมาก บางทีราคาเช็คไปเป็นหมื่น แต่สภาพหน้าตาเป็นหลักพันต้นๆ ส่วนโรงแรมที่เป็น Chain ราคาคืนละหมื่นขึ้นหมด แถมบางเมืองก็ไม่มี ส่วนใหญ่จะเป็น Apartment ที่ก็มีความเสี่ยงว่าหน้าตาจะเหมือนกับรูปรึป่าว ส่วนนึงที่ทำให้ราคาแพงเพราะว่าครอบครัวเราต้องการนอนห้องเดียวกัน 3 คน ราคาเลยค่อนข้างสูง เพราะโรงแรมที่นี่ชาร์จคนที่ 3 ด้วย ตอนที่หาทัวร์ดูเนี่ย โปรแกรมนี้ก็ถือว่าราคาถูกสุดเลย ซึ่งโปรแกรมนี้ก็จะขายผ่านหลายๆเอเย่นต์ Quality Express ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเอเย่นต์นั้น ตอนแรกจะซื้ออันนี้ก็แอบมีความกลัวอยู่เหมือนกัน ต้องเรียกว่าไปแบบทำใจ กลัวจะเจออะไรไม่ดี แต่ผลสุดท้าย เที่ยวสนุก คุณภาพดีกว่าคาด แม้โรงแรมจะไม่ได้หรูหรา แต่ก็ถือว่าอยู่ได้ดี สบายใจ โปรแกรมเที่ยวสนุก แม้จะนั่งรถนานด้วยตัวสถานที่ท่องเที่ยวที่ไกลกัน แต่ก็มีเวลาแวะแต่ละทีนาน ไม่ได้เป็นแบบจิ้มจุ่ม แถมยังได้ไกด์ดี entertain เก่ง เลยถือว่าได้กำไรสำหรับทริปนี้เลย

Day 1 Bangkok – Dubai

วันแรกตามสไตล์ทัวร์ ไม่รู้จะนับว่าเป็นวันแรกทำไม นัดมาที่สนามบิน 4 ทุ่มครึ่ง เพื่อรอขึ้นเครื่องของ Emirates EK385 จากกรุงเทพฯไปแวะที่ดูไบแล้วค่อยถึงโครเอเชียที่เมือง Zagreb โดย ณ ตอนนี้โครเอเชียไม่มีบินตรง มีให้เลือกแวะพักได้หลายที่ตามสายการบินเช่น Austria Airline, Turkish Airline

Day 2 Dubai – Zagreb – Opatija

วันที่สองอย่างรวดเร็วคือเริ่มออกเดินทางแล้ว เครื่องบินออกจากสนามบินตอนตี 1.15 เหมือนจะเป็นเวลาที่ดี เพราะรอจนกำลังง่วงนอนได้ที่ บินประมาณ 6 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินดูไบตอนประมาณเกือบตี 5 มีเวลาให้พักประมาณ 3 ชั่วโมง ที่สนามบินดูไบมีของโปรดที่ต้องแวะทุกครั้งที่มาคือ Shake Shack ของช้อปปิ้งอย่างอื่น ไม่ได้มีมากและราคาก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่ พาพ่อกับแม่มากิน ทั้งสองคนดูชอบ กินอย่างเอร็ดอร่อย กินเสร็จเหลือเวลาอีกเยอะ ก็มานั่งรอขึ้นเครื่องแบบมึนๆไป

ถึงเวลาขึ้นเครื่องเที่ยวบิน EK129 ตอนประมาณเกือบ 8 โมง นั่งหลับๆตื่นๆไปอีกประมาณ 6 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบิน Zagreb ตอนประมาณเที่ยงครึ่ง ลงมาถึง Terminal ขาออกก็เป็นแบบเล็กๆมองเห็นจากฝั่งนึงไปอีกฝั่งได้ มีร้านกาแฟอยู่ 2 ร้าน มินิมาร์ทอีกร้านนึง แล้วก็มีร้านแลกเงิน ระหว่างรอรถทัวร์มารับ จัดการแลกเงินจากยูโรเป็น Kuna เรทที่สนามบินถ้าเทียบดูแล้วแพงกว่าไปแลกข้างนอกนิดหน่อย แลกได้ไม่ถือว่าต่างกันมาก เสร็จแล้วก็ไปซื้อ Sim card ของ T-Mobile จากมินิมาร์ท 7 วัน 4G Unlimited 75 Mbps ราคา 85 Kuna ใช้ได้ดีตลอดทริป ไม่มีติดขัด

รอสักพักรถทัวร์ก็มารับ ทุกคนดูตื่นตาตื่นใจกับคนขับรถ โดยเฉพาะไกด์ คนขับรถเป็นวัยรุ่น หน้าตาดี แต่งตัวเรียบร้อย ต่างกับคนขับยุโรปปกติที่จะมาแบบอายุเยอะ พุงพลุ้ย หลังจากขึ้นรถ ก็ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่า โดยมีจุดแวะพักที่ปั๊มน้ำมันให้หนึ่งจุด ก่อนจะถึงเมือง Opatija ปั้มน้ำมันส่วนมากจะดี เพราะเหมือนเป็นจุดพักรถใหญ่ จะมีขายของกินหลายอย่าง แล้วก็มีมินิมาร์ทให้ซื้อขนมนู้นนี่ได้ พอเข้าเขต Opatjia ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ลูกทัวร์ต่างหน้าตาผิดหวัง เพราะกลัวว่าจะอดลงไปถ่ายรูป เลยลงความเห็นกันว่าจะเข้าโรงแรมเอาของไปเก็บกันก่อน แล้วค่อยกลับออกมาใหม่ โรงแรมชื่อ Grand Hotel Adriatic โรงแรมโอเค ห้องใช้ได้ วิวดีอยู่ริมทะเล มองไปเห็นตัวเมือง พอขับรถไปถึงโรงแรมฝนก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนรีบเอาของขึ้นไปเก็บที่ห้อง พอกลับลงมาไกด์ก็พาไป Attraction แรก คือ Maiden of the seagull ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ จริงๆตัวอนุสาวรีย์ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แต่ด้วยวิวรอบๆที่ติดทะเล และมองเห็นตัวเมืองอีกฝั่งนึง ก็ทำให้บริเวณนี้เป็นสถานที่น่ามาเดินเล่นชมวิว ใกล้ๆกันก็จะมีโบสถ์ St.James และก็มีรูปปั้น Madonna Del Mare ซึ่งเดิมเคยตั้งอยู่ที่ Maiden of the seagull และพอถูกพายุพัดเสียหายก็ถูกย้ายมาตั้งตรงแถวโบสถ์แทน มีสวนเล็กๆอยู่ข้างให้เดินเล่นถ่ายรูปได้ ไกด์ให้เวลาเดินเล่นแบบเหลือเฟือ ก่อนพาเดินไปร้านอาหารเย็นในตัวเมือง

อาหารวันนี้เป็นไก่อบ ก็เสิร์ฟเป็นแบบอาหารฝรั่ง ซุป สลัด จานหลัก แล้วก็ของหวาน ซึ่งทุกๆวัน อาหารก็จะมาเป็นคอร์สแบบนี้ แค่เปลี่ยนประเภทของเนื้อไป พอทานอาหารเสร็จไกด์ก็พากลับเข้าโรงแรมพักผ่อน

Day 3 Opatija – Plitvice – Zadar

ห้องอาหารที่โครเอเชียนี้จะเปิดค่อนข้างช้า คือ 7 โมง เลยนับเป็นโชคดีของเรา เพราะไกด์จะนัดเช้ายังไงก็นัดได้แค่ 6-7-8 และด้วยความที่เป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว จึงนับว่าเวลานัดนี้เป็นเวลานัดที่ค่อนข้างจะดี และไกด์ก็ใช้เวลานี้ นัดทุกคนเกือบทุกวัน ก่อนรอห้องอาหารเปิด ก็มีเวลาให้ไปเดินเล่นรอบๆโรงแรม ดูวิวทะเล Adriatic

กินข้าวเสร็จขึ้นรถเดินทางไปจุด Highlight ของทริปนี้ คืออุทยานแห่งชาติ Plitvice ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า ก่อนถึงแวะให้ทานอาหารกลางวัน เป็นหมูหัน อาหารท้องถิ่นอย่างหนึ่งของโครเอเชีย รสชาติจืดหน่อย แล้วมาทั้งหนังและเนื้อเยอะๆ จะสู้หมูหันของจีนไม่ได้ที่เป็นแบบหนังกรอบๆ

กินอิ่ม ก็ได้เวลามาที่อุทยานแห่งชาติ Plitvice ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของโครเอเชีย และเป็น UNESCO World Heritage Site ด้วย จุดเด่นของที่นี่คือ มีทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ 16 ทะเลสาบ อยู่สูงต่ำต่างๆกัน เส้นทางการเดินของที่นี่มีให้เลือกหลายเส้นทางตั้งแต่ 2 ชั่วโมง ไปถึง 8 ชั่วโมง เส้นทางที่ไกด์เลือกให้เดินก็ประมาณ 3 ชั่วโมง รวมเวลาล่องเรือในทะเลสาบด้วย ต้องเล่าว่าก่อนมาไม่ได้ดูรูปมาก่อนเลยไม่รู้ถึงความอลังการที่จะได้เจอ พอเข้าไปถึงตอนแรกก็ทึ่งเลย เหมือนไกด์พามาเริ่มที่จุดที่สูงหน่อย พอมองลงไปตื่นตา ตื่นใจมาก น้ำตกไหลแรง เสียงดัง น้ำสีฟ้าเขียว สวยมาก รวมถึงความวุ่นวาย ที่ดูเหมือนจะมีคนทุกสัญชาติมายืนรวมตัวกัน ถ่ายรูปไปมา จะยืนถ่ายรูปตรงนี้ก็ติดคน จะถ่ายตรงนู้นก็มีแต่คน จากที่เริ่มหยุดดูอะไรได้ ก็เริ่มกลายเป็นว่าหยุดไม่ได้ เพราะคนเยอะมาก เดินเป็นแถวเรียงหนึ่งต่อกันไปเรื่อยๆ ถึงแม้วิวตรงหน้าจะน่าตื่นตาตื่นใจ แต่พอเจอคนเยอะขนาดนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เดินๆ ไปเรื่อยๆ แบบนี้ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ไปถึงจุดที่มีน้ำตกใหญ่ ตรงนี้เหมือนเป็นจุดถ่ายรูป เพราะเป็นลานกว้าง แล้วน้ำตกก็สูงใหญ่มาก ทุกคนก็เลยเหมือนหยุดพักตรงจุดนี้ พอหลังจากจุดนี้ไป อยู่ๆคนก็เริ่มสลายตัว ไม่รู้หายไปไหนกันหมด กลายเป็นว่าตามทางเดินมีคนอยู่หรอมแหรม บางช่วงหันหน้าหลังมองไม่เห็นคนเป็นระยะทางไกลๆเลยก็มี ขนาดคนในกลุ่มทัวร์เดียวกันก็หายไปด้วย กลายเป็นว่าพอบรรยากาศเงียบสงบ ความรู้สึกดีก็กลับมาอีกครั้ง อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่มีแดด สองข้างทางมีแต่วิวน้ำ บางทีเป็นแค่ทางน้ำไหล บางครั้งเป็นน้ำตก เป็นความเงียบ สลับกับเสียงน้ำไหล น้ำตกบ้าง น้ำที่เห็นก็สีสวยมาก แถมยังใสมากด้วย ใสจนขนาดมองเห็นถึงพื้นทะเลสาบได้ในบางจุด และก็มองเห็นปลาว่ายอยู่ในน้ำ เดินได้เป็นทางโล่งอย่างงี้ประมาณ 2 ชั่วโมงจนถึงจุดขึ้นเรือเลย การล่องเรือในทะเลสาบก็ไม่มีอะไร เป็นการล่องเรือเพื่อกลับไปจุดที่ใกล้กับจุดจอดรถ ทำให้ไม่ต้องเดินต่อ เรือเป็นเรือแบบเงียบๆ ล่องในทะเลสาบสักประมาณ 15 นาที พอได้บรรยากาศสงบๆ ก็ถึงฝั่งพอดี เดินต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงจุดจอดรถ ถือเป็นที่ที่สร้างความประทับใจให้ได้เป็นอย่างมาก

ทัวร์พาเดินทางต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงเมือง Split ทัวร์พาแวะกินข้าวก่อน มื้อนี้เป็นอาหารจีน ซึ่งดูจะเป็นของหายากในโครเอเชีย เพราะตามปกติทัวร์จะเน้นกินอาหารจีน แต่มาครั้งนี้มีอาหารจีนแค่มื้อนี้มือเดียวเอง กินข้าวเสร็จก็เข้าที่พัก Hotel Kolovare ที่พักที่นี่ก็อยู่ใกล้กับทะเล Adriatic สามารถไปเดินเล่น มีร้านอาหารเล็กๆ และมินิมาร์ทอยู่รอบๆบ้าง

Day 4 Zadar – Split – Mali Ston – Dubrovnik

เช้าตื่นมา รอทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารโรงแรม หลังจากนั้นไกด์พาเดินชมเมือง Zadar เมืองนี้ก็เป็นเมืองเล็กๆหน้าตาน่ารัก ว่ากันว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโครเอเชียที่มีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เมืองก็ดูไม่ได้คึกคักอะไรมาก อาจเป็นเพราะเป็นแค่เมืองเล็กๆ Attraction ก็มีอยู่ไม่กี่ที่ จุดที่ชอบของเมืองนี้น่าจะเป็น Sea organ เป็นเครื่องดนตรีที่สร้างขึ้นในรูปแบบของบันได มีโพรงเล็กๆอยู่ตามบันไดในระดับที่ต่างๆกัน พอน้ำทะเลซัดเข้าฝั่งมา ก็จะเกิดเป็นเสียงที่ต่างๆกัน ซึ่งถือว่าเข้ากับบรรยากาศริมทะเลเป็นอย่างมาก

ออกเดินทางต่อไปยังเมือง Split เมืองนี้ค่อนข้างใหญ๋ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโครเอเชีย รองจากเมืองหลวง เรามแวะที่ไฮไลท์ของเมืองนี้คือ พระราชวัง Diocletian ซึ่งสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยโรมัน บริเวณพระราชวังดูคึกคักมาก เต็มไปด้วยนั่งท่องเที่ยว ปากทางเข้าประตูจะเป็นร้านขายของที่ระลึกเรียงรายกันมายาวตามทางเดิน พอพ้นเข้าประตูแล้วก็จะเหมือนเป็นเมืองเล็กๆเมืองนึง ทางเดินและผนังปูด้วยหินสีขาว ด้านในประตูจะเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยเล็กๆ มีทั้งร้านอาหารและร้านขายของเต็มไปหมด ไกด์ให้เวลาเราเดินเล่นอยู่ในนี้เป็นชั่วโมงเลย แล้วนัดกันอีกทีเพื่อพาเดินไปที่ร้านอาหารกลางวัน เดินที่นี่ ถ้าไม่จำไว้ดีๆ ก็หลงได้ง่ายๆเหมือนกัน เพราะทุกซอยหน้าตาเหมือนกันหมด แล้วก็ตัดไปตัดมา พวกเราโชคดีเดินไปเดินมาไปเจอรูปปั้น Gregory มองเห็นที่นิ้วโป้งของรูปปั้นกลายเป็นสีทองเลย เนื่องจากเป็นความเชื่อว่าถ้าลูบแล้วจะโชคดี เลยมีคนมาลูกบกันเยอะแยะ ก็เลยไม่พลาดที่จะลูบตามคนอื่นด้วย

หลังจากกินข้าวเสร็จก็นั่งรถอย่างยาวเกือบ 3 ชั่วโมงไปที่เมือง Mali Ston ระหว่างทางต้องข้ามผ่านประเทศบอสเนียฯ เฮอร์เซโกวีนา ที่เมือง Neum จุดพักรถมีห้องน้ำให้เข้า และก็มีร้านมินิมาร์ทให้ได้ช้อปปิ้งขนมตามเคย เป็นการข้ามผ่านประเทศที่สั้นและรวดเร็ว ไกด์บอกว่าถ้าวันไหนที่ด่านเข้มๆก็จะต้องประทับตรา 4 ครั้ง คือ ออกจากโครเอเชีย เข้าบอสเนียฯ ออกจากบอสเนียฯ เข้าโครเอเชีย แต่โชคดีวันนี้ที่ด่านเหมือนจะไม่เข้มคุยกับแค่คนขับ แล้วก็ประทับตราพาสปอร์ตแค่ครั้งเดียวและก็แค่ 4 เล่ม ถ้าประทับตราหมดคงเสียเวลาน่าดู พอเริ่มเข้าใกล้เขตเมือง Ston กับ Mali Ston ก็จะมองเห็นฟาร์มเลี้ยงหอยอยู่ในทะเล เป็นเหมือนถังเล็กๆ ลอยห่างๆกันอยู่เต็มทะเล ทั้งสองเมืองนี้อยู่ติดกัน เส้นแบ่งเมืองแบ่งด้วยกำแพงเมือง เราแวะที่เมือง Mali Ston ที่นี่เราได้นั่งเรือ ออกไปยัง Oyster bar ชื่อ Bota Sare กลางทะเล โดยเค้าจะพาเราขึ้นเรือเล็กๆออกไป ระหว่างทางที่จะถึงมีเสิร์ฟ Rakia เป็นบรั่นดีท้องถิ่น ลองชิมดูแล้ว รสชาติเหมือนยา ค่อนข้างแรง ดื่มแล้วร้อนในคอเลย บรรยากาศดีมาก อากาศเย็นสบาย มีลมพัดเอื่อยๆ น้ำสีฟ้าเขียวใสตัดกับวิวภูเขาโดยรอบ นั่งไปสัก 15 นาที ก็ถึง Oyster bar กลางทะเล ซึ่งเป็นที่ที่คนขับเรือจะนำหอยนางรมและหอยแมลงภู่ที่จับขึ้นมาสดๆจากทะเลมาแกะให้เรากินกันกับไวน์ บรรยากาศดีมาก นั่งเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย เราใช้เวลาอยู่ที่นี่เกือบชั่วโมงถึงกลับขึ้นฝั่ง และเดินทางต่อไปที่เมือง Dubrovnik

พอเข้าใกล้เขตเมือง Dubrovnik เห็นเรือสำราญขนาดใหญ่จอดกันอยู่ 2-3 ลำ วิวเมืองดูสวยงาม มีบ้านและตึกมากมาย เรียงรายกันอยู่บนเขาริมทะเล โรงแรมวันนี้ถือว่าดีที่สุดในทริป ตัวโรงแรมใหญ่โตโอ่อ่า มี Facility ครบครัน ชื่อ Hotel Mlini อาหารเย็นวันนี้เป็นบุฟเฟต์ที่โรงแรม มีอาหารหลายอย่างให้เลือก แถมรสชาติอร่อยถูกปากอีกต่างหาก

 

Day 5 Dubrovnik – Trogir

Dubrovnik เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของโครเอเชีย เป็นเมืองเก่าตั้งอยู่ภายในกำแพงหิน แม้จะเป็นเมืองเก่า แต่มีสภาพสมบูรณ์สวยงาม ผนังและพื้นเป็นหินสีขาวตัดกับหลังคาสีส้ม มองออกไปเห็นวิวทะเลสีฟ้าเข้มสวยงาม  เมืองนี้ใช้เป็นฉากถ่ายทำซีรี่ส์ Game of Throne ด้วย เลยอาจจะทำให้นักท่องเที่ยวยิ่งหลั่งไหลมา วันนี้แดดเริ่มออกตั้งแต่ช่วงเช้า ทำให้อากาศค่อนข้างร้อน แดดแรงมาก แบบรู้สึกผิวไหม้เลย วันนี้เริ่มต้นการเที่ยวเมืองด้วยการขึ้นกระเช้าเพื่อไปชมวิวเมืองจากด้านบน วิวเมืองมองมาจากด้านบนก็สวยดี แต่ก็สวยไม่สุด เพราะติดสายเคเบิ้ลของกระเช้าบ้างในบางมุม หลังจากนั้นก็เดินต่อมาที่ประตูเมือง ไกด์พาเดินอธิบายตรงนู้นตรงนี้ เสร็จก็ปล่อยให้เดินเล่นและกินข้าวกลางวันกันเอง เลยได้มีโอกาสลองกินอาหารทะเลของที่นี่ดู รสชาติดีมาก หลังจากนั้นก็เดินเล่นชมเมือง แต่ไม่ได้ขึ้นไปบนกำแพง เนื่องจากเห็นปริมาณคน บวกกับแดดที่แรงจัด คิดว่าขึ้นไปเดินต้องสุกแน่นอน อีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจ คือการนั่งเรือออกไปเพื่อไปชมวิวเมืองจากทะเล เห็นคนในกรุ๊ปไปมา จากรูปก็ดูสวยดี โดยรวม Dubrovinik ก็ดูสวยงาม ได้บรรยากาศย้อนยุค มีความคึกคักมากถึงมากที่สุดกว่าทุกเมืองที่ไปมา

ถึงเวลาขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไปยัง Trogir ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกล ออกไปอีกกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง จากตรงนี้จะถือว่าเป็นขากลับแล้ว โปรแกรมพยายามตีกลับจากตอนใต้ของประเทศกลับขึ้นไปด้านเหนือ และเนื่องจากไม่ได้มีเมืองใหญ่อะไรมาก ทัวร์จึงให้นั่งรถยาวๆเพื่อจะได้ถึงตอนบนเร็วๆ กว่าจะมาถึงก็ได้เวลาทานอาหารเย็นที่โรงแรมพอดี โรงแรมในวันนี้เป็นแบบบ้านๆ เหมือนเป็นแบบครอบครัว แต่ชอบมาก เพราะโรงแรมสะอาดมากถึงมากที่สุด โรงแรมชื่อ Hotel Trogir Palace แต่ไม่ได้ตั้งอยู่ใน Trogir ตั้งอยู่ที่แผ่นดินอีกฝั่งนึง ที่ตลกคือ พอมาถึงเพิ่งรู้ว่า Trogir เป็นเกาะ เกาะที่เล็กมาก โดยจะมีสะพานเชื่อมต่อกับแผ่นดิน สะพานที่ข้ามจากแผ่นดินมาเกาะนี่ยาวเท่ากับรถบัสวิ่งข้ามก็ถึงเลย ดังนั้น ตอนกลางคืนถ้าใครอยากออกมาเดินชมเมืองจากโรงแรมก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากอะไร แต่ครอบครัวพวกเราเหนือจนตัดสินใจเข้านอนเลย

Day 6 Trogir – Sibenik – Zagreb

เช้าวันรุ่งขึ้น ไกด์พาพวกเราเดินข้ามสะพานมาเพื่อชมเมืองซึ่งเป็นเกาะ เกาะมีขนาดเล็กแบบเดินถึงกันได้ทั้งเกาะ แต่ก็นี่ก็มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่น่าสนใจ จนได้รับยกย่องให้เป็น UNESCO World Heritage Site

หลังจากเดินชมเมืองก็ได้เวลาย้ายไปชมเมือง Sibenik ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน เป็นเมืองติดริมทะเลอีกเช่นเดิม หน้าตาก็จะคล้ายๆกับเมืองที่ผ่านมา แต่มีสถานที่สำคัญที่เป็น UNESCO World Heritage Site คือ The Cathedral of St.James ซึ่งเป็นโบสถ์หินที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่สร้างโดยไม่มีไม้หรืออิฐค้ำยัน ระหว่างเดินไปชมก็เดินผ่านงานโชว์รถ Classic ที่คนเอามาเรียงโชว์อยู่ริมทะเลด้วย

หลังจากทานอาหารกลางวันก็ได้เวลาเดินทางไกลกว่า 4 ชั่วโมง เพื่อเข้าสู่เมือง Zagreb จุดหมายสุดท้ายก่อนบินกลับ กว่าจะมาถึงก็ค่ำแวะทานอาหารเย็นที่โรงเบียร์ก่อนเข้าพักที่ Hotel Phoenix  ซึ่งถือเป็นโรงแรมที่แย่สุดในทริป เนื่องจากอยู่นอกเมือง รอบๆโรงแรมก็ไม่มีอะไรให้ทำ ไม่มีวิวให้ดู แต่สภาพห้องก็ถือว่าพอโอเค ทำให้หลับสบายได้อีกหนึ่งคืน

Day 7 Zagreb – Dubai

เช้าวันรุ่งขึ้นนั่งรถเข้าตัวเมือง Zagreb ไกด์พาเราเดินดู Lower town ก่อน บ้านเมืองที่นี่ไม่ค่อยมีตึกสูงมากนัก จากนั้นเราก็นั่งรถราง ซึ่งถือว่าเป็นรถรางที่มีระยะสั้นที่สุดในโลกเพื่อขึ้นไปยัง Upper town ขึ้นจากรถรางไปจะเห็นวิวเมือง เดินต่อไปจะเห็นสถานที่ที่มีความสำคัญหลายแห่ง โดยเฉพาะโบสถ์ St. Mark’s ที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ด้วยหลังคาปูกระเบื้องสีชาติของชาวโครเอเชียที่โดดเด่น เดินชมสถานที่สำคัญจนครบ ไกด์ให้เวลาเดินเล่นเองอีกประมาณสองชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอ เพราะที่นี่ไม่ได้มีอะไรให้ดูเพิ่มเติมต่อมากนัก จากนั้นไกด์พาเราไปยังสนามบิน Zagreb เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับโดยเที่ยวบิน EK130 ไปถึงยังพอมีเวลาแวะทานอาหารกลางวันที่สนามบิน บวกกับเดินเล่นเล็กๆน้อยๆใน Duty free ก่อนเครื่องออกตอนประมาณบ่ายสาม

Day 8 Dubai – Bangkok

วันนี้คือวันสุดท้าย ไม่ได้อยู่ที่โครเอเชียแล้ว เป็นการรอแวะเปลี่ยนเครื่อง รอเที่ยวบิน EK384 เพื่อเตรียมตัวบินกลับกรุงเทพ แวะกิน Shake Shack ตอนเที่ยงคืน รู้สึกอ้วนมาก เครื่องออกเดินทางประมาณตี 3.40 บินกลับมาถึงกรุงเทพอย่างสวัสดิภาพตอนประมาณบ่ายโมง ถือเป็นการจบทริปอย่างสมบูรณ์

Summary

โครเอเชีย ถือว่าเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศที่ค่อนข้างสวยงาม เสียดายที่แต่ละที่อยู่ค่อนข้างไกลจากกัน ทำให้แต่ละวันต้องนั่งรถนานๆเพื่อย้ายจากที่นึงไปอีกที่นึง สถานที่เที่ยวที่ชอบมากที่สุด คือ Plitvice ถือว่าสวยงาม ยิ่งใหญ่ ควรค่าแก่การไปชม เป็นที่ที่สามารถอยู่เดินเล่นได้ทั้งวัน ไม่มีเบื่อเลย นอกจากนี้ กิจกรรมที่ชอบไม่แพ้กัน คงเป็นการนั่งเรือไปกินหอยนางรมที่เมือง Mali Ston ทั้งวิวกลางทะเลบวกกับรสชาติความสดของหอยถือว่าดีสุดๆไปเลย ในส่วนของเมืองอื่นๆ แม้ว่าจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ถือว่ามีความคล้ายกัน คือเป็นเมืองริมทะเล (Riviera) เหมาะแก่การมานั่งชิว จิบไวน์ กินอาหารทะเล ว่ายน้ำ ชมวิว เพราะแต่ละเมืองไม่ได้มีที่ท่องเที่ยวอะไรมาก จะมีจัตุรัสกลางเมือง มหาวิหารให้ดู แล้วถ้าดีหน่อยไปตรงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็จะมีพวก Farmer’s market เมืองพวกนี้ ถ้าให้มาอีกก็ต้องเป็นแนวมานั่งๆนอนๆไม่ต้องไปไหน อากาศในช่วงนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่ดี คือไม่ได้ร้อนมากจนเกินไป คือถ้าไม่ไปอยู่กลางแดด ก็จะถือว่าอากาศกำลังเย็นสบาย ไม่มีความเหนียวตัวเหมือนเวลาเที่ยวทะเลเมืองไทย เรื่องช้อปปิ้งไม่ต้องพวกถึง แต่ถ้าไปอยู่กลางแดด ก็จะเป็นแนวแดดแผดเผา ไหม้ผิวได้ ของที่นี่ดูไม่ค่อยทันสมัยมากเท่าไหร่ ของช้อปเป็นพวกก๊อกๆแก๊กๆประหยัดตัง พวก consumer products ทั้งหลาย ที่ไกด์ย้ำนักย้ำหนา ว่าถูกกว่าในยุโรป ในแง่ของอาหาร แม้จะกินอาหารจากทัวร์ตลอดทริป ต้องถือว่าที่นี่ อาหารรสชาติใช้ได้ บวกกับไปเลือกกินเองหนึ่งมื้อ คิดว่าอาหารที่นี่ต้องอร่อยแน่นอน โดยเฉพาะอาหารทะเล ในส่วนของขนมต้องบอกว่าที่หากินง่ายสุดคงเป็น Gelato มีเกือบทุกเมือง เมืองละหลายๆร้าน ซึ่งก็เหมาะกับอากาศในหน้าร้อนของที่นี่มาก ผู้คนที่นี่ เท่าที่เจอถือว่าปนๆ มีคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีสุดๆ กับคนที่เป็นแนวแบบพวกยุโรปนิ่งๆก็เยอะ สรุป โดยรวมถือว่าเป็นประเทศที่มาอีกได้ แต่ถ้ามาคราวหน้าจะขอไม่เที่ยวเยอะเมืองแล้ว เหนื่อยนั่งรถ ขอเที่ยวเมืองน้อยๆ หาร้านอร่อยๆ ชมวิวสวยๆดีกว่า ^^

NooChan Written by:

Journey diary for a forgetful person, like myself!!

Comments are closed.