ครั้งนี่มาเที่ยวกับที่ทำงาน โดยมีเพื่อนร่วมเดินทางกว่า 10 ชีวิต ลงเครื่องบินที่สุราษฯ แวะไหว้พระ กินข้าว แล้วตรงดิ่งขึ้นเรือไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่เขื่อนเชี่ยวหลาน ไม่น่าเชื่อว่าถึงมากันเยอะ จะพบกับความสงบได้ขนาดนี้ ที่นี่สัญญานโทรศัพท์เข้าไม่ถึง กิจกรรมไม่มีอะไรให้ทำมากนอกจากว่ายน้ำและพายเรือคายัคหน้าแพที่พัก วันทั้งวันผ่านไปอย่างเนิบช้า พวกเรานั่งๆนอนๆ นึกว่าเวลาผ่านไปแล้ว แต่ต้องตกใจพอดูนาฬิกาเวลาเหมือนจะผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียว กลางคืนคืนแรกที่แพมีกิจกรรมพานั่งเรือออกไปชมพระจันทร์ลอยกระทง ค่อนข้างมีความน่ากลัว เพราะมืดมาก มองออกไปจากเรือ มองไม่เห็นอะไรเลย
วันที่ 2 มีกิจกรรมล่องแพ เดินป่า เที่ยวถ้ำ ให้พอได้ออกแรง ไม่เหนื่อยมาก กลับมาก็มานั่งๆนอนๆต่อ จนหมดไปอีกวันนึง
ตื่นมาก็เป็นวันสุดท้ายขึ้นเรือเตรียมตัวกลับ คนเรือพาล่องเรือชมความงามที่ทุกคนบอกว่าเหมือนกุ้ยหลิน และพาพวกเรากลับเข้าฝั่ง แต่ก็ต้องมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ฝนเกิดตกลงมาปรอยๆ คนเรือจอดเรืออยู่กลางเขื่อนที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก เพื่อจะไปเอาผ้าใบมาคลุมกระเป๋าไม่ให้เปียก อยู่ๆก็มีเรือลำนึงแล่นตรงเข้ามาจากไหนไม่รู้ด้วยความเร็วสูง ชนเข้ากับเรือของเรา จนหัวเรือของอีกฝั่งยกขึ้นมาถึงที่นั่งท้ายเรือของพวกเรา ที่น่าตกใจคือ น้องๆที่นั่งอยู่ท้ายเรือตกลงไปในน้ำ มีน้องที่ว่ายน้ำไม่เป็นตกลงไปด้วย โชคดีที่คนเรือรีบกระโดดตามลงไปช่วย ส่วนเรือของเราเหมือนน้ำค่อยๆเข้า แล้วหัวเรือก็จะไปชนกับโขดหิน พวกเราที่ยังอยู่บนเรือพยายามวิดน้ำออกจากเรือด้วยมือ ซึ่งก็ไม่รู้จะทำไปทำไมเพราะแทบไม่ช่วยให้ระดับน้ำลดลงได้เลย พอเรือกำลังจะชนโขดหิน โชคดีที่มีเพื่อนคนนึงไปหันหางเสือเรือ ทำให้หัวเรือไม่ชน เพิ่งเคยรู้ว่าคนที่เค้าพูดว่าขาสั่นมันเป็นยังไงขามันสั่นเองแบบกีกๆๆ หยุดไม่ได้เลย แต่สุดท้ายโชคยังเข้าข้างมีเรืออีกลำผ่านมาพอดีมาหยุดช่วย รับพวกเราทั้งหมดขึ้นเรือไป เป็นอันว่าทุกคนปลอดภัยดี สุดท้ายพวกเราก็ไม่สามารถจะเอาผิดกับใครได้มาก คนขับเรือที่มาชนเป็นเด็กอายุไม่ถึง 18 เลย จะเรียกร้องค่าเสียหายเยอะๆก็สงสารเด็ก สุดท้ายเจ้าของเรือลำนั้นให้เงินมาจำนวนหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่ไม่ได้ครอบคลุมมือถือที่ตกน้ำพังไปหลายเครื่อง นับว่าโชคดีมากๆที่ไม่มีใครเป็นอะไร เป็นอันจบทริปไปอย่างตื่นเต้นน่ากลัว แถมด้วยบทเรียนว่าทุกคนควรใส่ชูชีพไว้ตลอด ไม่ว่าจะดูปลอดภัยขนาดไหนก็ตาม
Comments are closed.