ภูกระดึง ภูที่ใครๆบอกต้องไปพิชิตให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไร ทำไมถึงต้องไปให้ได้ จึงออกเดินทางกับเพื่อนสนิท เป็นทริปสองสาวเดินทางไปด้วยกัน
พวกเรานั่งเครื่องบินไปลงสนามบินจังหวัดเลยแล้วเรียกรถต่อไปถึงทางขึ้นภูกระดึง อาจะเป็นการเลือกฤดูไปภูกระดึงที่ผิดแปลกจากคนส่วนมากซักหน่อย คือพวกเราไปกันตอนหน้าร้อน เดือนพฤษภาคม ซึ่งถือเป็นเดือนสุดท้ายก่อนจะปิดภู
พวกเราไปถึงภูกระดึงตอนประมาณบ่ายโมง กระเป๋าพวกเราคนละ 5 กก. จึงตัดสินใจแบกขึ้นเองโดยไม่ใช้ลูกหาบ ตอนลงชื่อขึ้นภูมีรายชื่อคนที่มาก่อนหน้าในช่วงเช้าประมาณ 30 คนเอง อากาศวันนี้ไม่มีแดด แต่เป็นอากาศแบบร้อนชื้น ไม่ได้สบายตัวสักเท่าไหร่ ระยะทางที่ต้องเดินทั้งหมดกว่าจะถึงหลังแป หรือจุดด้านบนของภู อยู่ที่ 5.5 กม. ทางเดินสบายๆไม่ได้ลำบากมาก โดยแต่ละจุดจะมีชื่อเรียกเป็นซำต่างๆ จุดที่คิดว่าเหนื่อยที่สุด และตั้งชื่อได้สมกับความรู้สึกมาคือ ซำแฮก ระยะทางจากปางกกคำจุดเริ่มต้นเพียงแค่ 600 เมตร แต่ด้วยความชันเลยเหนื่อยแฮ่กเลย
พวกเรามาถึงจุดนี้ก็นั่งพัก แล้วก็สั่งอาหารมากินเลย จุดนี้มีร้านเปิดอยู่แค่ 2-3 ร้าน ได้คุยกับพี่แม่ค้า เค้าบอกว่าจะปิดภูแล้ว ไม่ได้มีคนมาขายทุกร้าน หลังจากนั้นพอเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะเห็นจุดที่เป็นที่ขายของ แต่ช่วงที่เราไปไม่มีใครเปิดเลย จนขึ้นไปถึงตรงกลางๆมีร้านน้ำเปิดอยู่แค่ร้านเดียว เดินขึ้นไปเรื่อยๆเจอคนอยู่ระหว่างทาง 2-3 กลุ่ม ทุกครั้งที่ผ่านคนจะมีการทักทายคุยด้วย ว่าเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั๊ย มาจากไหน อะไรประมาณนี้ ซึ่งทุกคนที่เราผ่านมาเคยขึ้นภูกระดึงกันมาหมดแล้ว มีแค่เราสองคนที่เคยขึ้นเป็นครั้งแรก จุดที่ถือว่าเหนื่อยอีกหนึ่งจุด คือจากซำแคร่ขึ้นหลังแปร จุดนี้ชันนิดหน่อยและต้องขึ้นบันได้หลายจุด จนพอขึ้นบันได้สุดท้ายก็จะมาถึงยังหลังแป จุดที่เป็นที่ตั้งของป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” เข้าใจว่าเป็นป้ายที่ใครๆไปภูกระดึงก็ต้องมีรูปถ่ายกับป้ายนี้ พวกเราก็เหมือนกันไม่พลาดที่จะถ่ายรูปกับป้ายนี้ แต่สิ่งที่พลาดคือ ไม่รู้ว่าตอนนี้รูปนั้นอยู่ในหาไม่เจอ
หลังจากหลังแปเราต้องเดินกันอีก 3.5 กม.เพื่อไปยังวังกวาง ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จุดนี้เป็นจุดที่แย่ที่สุดในการเดิน เพราะตลอดทางแม้จะเป็นทางราบ แต่ไม่มีร่มไม้เลย ตอนพวกเราถึงแดดยังไม่หุบ พวกเราเดินตากแดดไปตลอดระยะทาง 3.5 กม. ร้อนมาก เดินจนเซ็ง จนถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อไปติดต่อขอเต๊นท์ เจ้าหน้าที่ที่นั่นน่ารักมาก บอกว่ามากันผู้หญิงสองคน ให้อยู่กันใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และก็ห้องน้ำล่ะกัน กลางคืนจะได้ปลอดภัย เสร็จก็ไปเอาเต๊นท์มาช่วยกางให้เรียบร้อย มองไปรอบๆทุกคนที่มาอยู่ก็จะอยู่บริเวณนี้กันหมด คนไม่เยอะเลย เราสังเกตจากพื้นดินตรงบริเวณอื่น มีทำเป็นช่องสี่เหลี่ยมสำหรับกางเต๊นท์ไว้ ก็ดีใจมากที่เลือกมาหน้านี้ เพราะไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าช่องเหล่านั้นเต็มคนจะเยอะขนาดไหน
หลังจากพวกเราเก็บของเรียบร้อย ล้างหน้าล้างตา พวกเราก็เดินต่อไปยัง ผาหมากดูก จุดที่ทุกคนต้องไปรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ห่างออกไปเพียง 2 กม. ตอนนี้เดินได้สบายๆ เพราะแดดไม่ร้อนแล้ว เส้นทางบนภูทั้งหมด จะไม่มีทางชันแล้ว จะเป็นทางราบหมดอย่างเดียว หลังจากพระอาทิตย์ตกพวกเราก็เดินกลับมาหาอาหารกิน วันนี้เลือกกินหมูกระทะกัน อากาศตอนกลางคืนเริ่มเย็นลง คือไม่ได้มีความเย็นมาก แต่ก็เป็นอากาศแบบอยู่ได้สบายๆไม่ร้อน พวกเรากินเสร็จ ซื้อน้ำเต้าหู้กลับมานั่งดื่มกันในเต๊นท์ นั่งเล่นนั่งคุยสักพักก็หลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราวางแผนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น และแวะไหว้พระที่ลานวัดพระแก้ว ทุกคนก็ดูเหมือนจะมีโปรแกรมเดียวกัน ไปถึงผานกแอ่นตอนพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ก็เห็นเจ้าหน้าที่มานั่งรอดูแลความปลอดภัยให้ พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้นทุกคนก็เริ่มถ่ายรูป และค่อยๆเดินกลับกัน พวกเรากลับมาไปกินข้าวเช้า และสั่งข้าวเหนียวหมูทอดไว้เป็นเสบียงสำหรับกลางวัน
หลังจากเรียบร้อย พวกเราออกเดินทางไปยังจุดชมวิวต่างๆ โดยมีจุดหมายสุดท้ายอยู่ที่การชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ซึ่งเป็นจุดที่ไกลที่สุด อยู่ไกลออกไป 9 กม.โดยพวกเราเลือกเส้นทาง เดินไปทางพระพุทธเมตตา แวะดูน้ำตกถ้ำใหญ่ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเพราะหน้าร้อนเลยไม่มีน้ำตกสักหยด ต่อไปที่สระอโนดาด ทะลุออกไปทางหน้าผา ทางผาเหยียบเมฆ เดินขนานหน้าผาไปเรื่อยๆจนถึงผาแดง ระหว่างเดินทางเราแทบจะไม่เจอใครเลย เจอเต็มที่ ก็จุดละ 2-3 คน พวกเราหยุดแวะกินข้าวกลางวันกัน ณ จุดนี้ ตรงนี้เป็นจุดที่เราได้พบกับเจ้าแดง หมาประจำภูกระดึง หลังจากที่ได้เจอเจ้าแดงที่ผาแดง เจ้าแดงก็เหมือนไกด์ประจำตัวเรา คอยเดินผลุบๆโผล่ๆ ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง พวกเราสองคนเดินแล้วค่อนข้างสบายใจ เพราะถึงแม้เป็นทางเดินตรงๆ แต่บางทีหน้าตาเหมือนมีทางแยกเล็กๆ เจ้าแดงก็เดินนำ แล้วก็พาพวกเรามาถูกทาง จนกระทั่งพวกเรามาถึงผาหล่มสัก
พวกเรามาถึงผาหล่มสักประมาณบ่ายสองโมงกว่า ยังห่างจากเวลาพระอาทิตย์ตกยิ่งหนัก ที่นั่นมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มมาถึงก่อนแล้ว ร้านอาหารเปิดอยู่สองร้าน พวกเราถ่ายรูปนั่งคุยเล่นกับคนอื่นฆ่าเวลา ส่วนเจ้าแดงเหมือนทำหน้าที่เสร็จสิ้น นอนพักอยู่ใต้เก้าอี้เรียบร้อย นั่งๆไปสักพัก รู้สึกหิวก็สั่งอาหารมากิน หลังจากหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เลยจับจองที่นั่งไม้ของร้านอาหารคนละตัว นอนยาวแล้วหลับไป ตื่นมาอีกทีประมาณเกือบสี่โมงกว่า พระอาทิตย์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตก นักท่องเที่ยวเริ่มมาเยอะขึ้น พวกเราออกไปเดินเล่นถ่ายรูป เดินเข้าๆออกๆ อยู่ไปสักพัก เจ้าของร้านก็ถามว่าพวกเราพกไฟฉายมารึป่าว บอกให้พวกเรารีบกลับได้แล้ว เพราะเดี๋ยวพระอาทิตย์ตกแล้วจะมืดมาก พวกเราเลยรู้ตัวว่าพลาดเสียแล้ว เพราะว่าไม่ได้พกมา โชคดีที่เจ้าของร้านใจดีให้ยืมไฟฉายมา แล้วบอกให้เอาไปคืนไว้ที่เจ้าหน้าที่อุทยานได้ ถึงแม้ว่าพระอาทิตย์ยังไม่ตกดี ตอนนั้นก็มีนักท่องเที่ยวหลายคน เริ่มกลับไปก่อนหน้าเราแล้ว เหลือนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่กลุ่มนึง กับกลุ่มเล็กอีกสองสามกลุ่ม พวกเราเลยตัดสินใจว่าควรจะกลับได้แล้ว เพราะเพิ่งนึกได้ว่าต้องใช้เวลาเดินกลับอีกนานกับระยะทาง 9 กม.
พวกเราเริ่มเดินออกจากผาหล่มสัก ตอนแรกก็เดินกันปกติ เดินไปไม่นานอยู่ๆพระอาทิตยก็เริ่มตก ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี พวกเราเริ่มเร่งฝีเท้าเดิน เพราะกลัวว่าจะมืด พวกเราเดินกันเองแค่สองคน ไม่มีคนอื่นเดินมาด้วย พวกเราเดินย้อนกลับทางเดินเรียบผาไปเรื่อยๆ เดินไปสักพักคิดว่าเลยผาแดงแล้ว ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว อยู่ๆ พอมองไปทางขวา ก็เห็นเหมือนผู้หญิงผมยาวนั่งอยู่ แต่พอได้สติ มองไปอีกทีก็เป็นหินทรงสูง ใจคอเริ่มไม่ดี แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่บอกเพื่อนว่าให้รีบเดินเถอะจะมืดแล้ว เดินๆไปสักพักเราก็ใจไม่ค่อยดี อยู่ๆเพื่อนก็กรี๊ดแล้ววิ่งไปข้างหน้า เราวิ่งตาม วิ่งไปนิดนึง เพื่อนก็หยุด เราก็หยุด ถามว่าเป็นอะไร เพื่อนบอกว่าไม่มีอะไร เราสองคนเลยคุยกันว่ารีบเดินกันเถอะ ตอนนั้นมืดแล้วมองรอบๆแทบไม่เห็น ตอนนี้เราไม่เดินมองอย่างอื่นเลย มองแต่พื้น เฉพาะตรงที่ไฟฉายส่องถึง รีบเดินจ้ำๆกันสองคน ผ่านไปสักพัก อยู่ๆเจ้าแดงก็โผล่มาให้ตกใจ แล้วก็หายไป พวกเราเดินต่อไป พอใกล้จะถึงที่พัก สักพักก็ได้ยินเสียงคนตามมาข้างหลัง เป็นคนกลุ่มใหญ่ขี่จักรยานผ่านไป พวกเราก็รีบๆเดิน จนสุดท้ายถึงที่พัก พอเดินมาถึงก็เลยมาคุยกันว่าที่เพื่อนกรี๊ด เพื่อนกรี๊ดอะไร เพื่อนบอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนเดินตามมา แบบใกล้มาก เลยตกใจแล้ววิ่งไป ส่วนเราก็บอกเพื่อนว่าเหมือนตาฝาดเห็นอะไร พอพูดกันเสร็จก็ไม่ได้พูดถึงกันอีก รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน จากนั้นด้วยความหิว ก็เลยพากันไปกินข้าว วันนี้กินอาหารตามสั่ง กินเสร็จแล้วค่อยอาบน้ำเข้านอน
เช้าตื่นมา กินข้าวเช้า เก็บของเตรียมตัวลง ขาลงจ้างลูกหาบ เดินลงจากภูประมาณตอนสายๆ เดินตัวปลิวสบายขึ้นเยอะ พอถึงด้านล่าง ปรากฎว่าไม่มีรถอยู่เลย เจอรถสองแถวอยู่แถวนั้นอยู่คันเดียว เค้าบอกว่าต้องเหมาคิดตั้ง 1,500 บาท แต่เค้าไปเอารถกระบะคันใหม่เอี่ยมจากบ้านมารับไปส่งพวกเราที่ในตัวเมือง
พอไปถึงในเมือง สิ่งแรกที่ทำคือไปหาอาหารกลางวันกิน ร้านแรกที่ไปคือร้านข้าวเปียกปากหมา ร้านนี้คนยืนรอคิวเต็มหน้าร้าน แต่รอไม่นานมาก็ได้กิน หลังกินเสร็จพวกเราก็เดินไปโรงแรม Indiego Space ที่จองไว้ อาบน้ำ ล้างตัวเรียบร้อย ออกมาไปนั่งเล่นกันที่ร้านกาแฟ หลังจากนั้นพยายามจะหารถเพื่อเรียกไปหาอะไรกินต่อ ปรากฎว่าแถวนั้นไม่มีรถอะไรให้เรียกเลย สุดท้ายโชคดีเห็นสองแถวเลยขึ้นไปหาอะไรกินต่อที่ตลาดเย็น เจอของเด็ดสองร้านคือ ร้านขนมเบื้องญวน กับข้าวกรียบปากหม้อ หลังจากนั้นนั่งรถไปกินอาหารเย็นต่อที่ร้านบ้านต้นหลิว พอเสร็จก็ไปนั่งเล่นต่อที่บาร์แถวๆโรงแรมชื่อ Bar Basic บรรยากาศดีเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ยังคงออกตามหาของกินกันต่อ เนื่องจากกลัวชิมอาหารร้านดังได้ไม่ครบ เลยไล่กินไปเรื่อยๆตั้งแต่เช้า ทั้งร้านกาแฟรสเลิศหมูยอ ร้านครัวนิด ร้านมะกัน หลังจากกินเสร็จยังเหลือเวลา เลยไปนั่งเล่นกันต่อที่ร้านกาแฟ นั่งไปนั่งมาก็คิดว่าอยากกินขนมเบื้องญวนอีก เลยนั่งรถไปที่ตลาดเย็น ได้กินขนมเบื้องญวนสมใจ บวกกับส้มตำ ส้มตำร้านนี้ก็อร่อยดี คนขายแต่งตัวชุดไทยขายอยู่ในตลาดเย็น เป็นอันอิ่มหนำสำราญ ได้เวลาขึ้นเครื่องกับกรุงเทพฯ
บทสรุปของทริปนี้ คงต้องบอกว่าภูกระดึงมีเสน่ห์อย่างที่ไม่คิดมาก่อน อาจจะด้วยระยะทางเดินที่กำลังดี แบบไม่ได้สบายเกินไป ลำบากพอให้รู้สึกว่าต้องฝ่าฟันเล็กๆ ประกอบกับผู้คน ทั้งที่มาเที่ยวและที่อยู่บนภูมีน้ำใจ มีอัธยาศัยให้ตลอดทาง แม้จะไปกันแค่สองคนแต่ก็ไม่รู้สึกเหงาหรืออันตรายเลย พอลงมาในเมืองอาหารก็รสชาติอร่อย ถูกปาก ทำให้สุขกาย สบายใจ รวมไปถึงผู้ร่วมเดินทางที่รู้ใจ ทำให้ทริปนี้ประทับใจไม่รู้ลืม และคิดว่าหากมีโอกาสต้องกลับไปอีกแน่นอน
Comments are closed.