ความอยากไปเดินป่าเดินเขาเกิดขึ้น หลังจากห่างหายไปนาน เพราะอาการป่วยออดๆแอดๆตั้งแต่ต้นปี มานั่งคิดดูว่าอยากไปไหนใกล้ๆที่ไม่ลำบากมาก เลยคิดถึงภูกระดึงขึ้นมา ที่ที่เคยไปแล้ว ไม่ลำบากมาก แต่ก็พอได้ทดสอบความฟิตนิดหน่อย
ครั้งนี้เริ่มต้นแบบงงๆหน่อย ด้วยการบินไปลงที่สนามบินขอนแก่น แทนที่จะไปลงที่สนามบินเลย เหตุผลมีง่ายๆอย่างเดียวคือ ราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกกว่าจากคนละ 1,507 บาท เหลือคนละ 627 บาท ส่วนต่างตั้งคนละ 880 บาท ก่อนไปก็ศึกษาอย่างดีว่าจะไม่โดนหลอกเรื่องการนั่งรถต่อจากขอนแก่นไปภูกระดึง แผนที่คิดไว้ว่าประหยัดสุดคือ นั่งรถขอนแก่นซิตี้บัส 15 บาท ไปลงรถบขส. 3 และก็นั่งรถจากบขส.ไปลงที่ภูกระดึง ในส่วนของขากลับตั๋วมีความแพงทั้งขอนแก่นและเลย เลยตัดสินใจง่ายๆว่าขึ้นกลับจากเลยในราคา 1,134 บาท
ความเป็นจริงต่างกับที่คิดเล็กน้อย เพราะโดนขัดด้วยของกิน ระหว่างเสริ์ชหาวิธีการนั่งรถ ได้ไปสะดุดตากับร้านเนื้อย่าง ประสิทธิ์โภชนา มีเมนูเสือร้องไห้ ดูน่ากินมาก แถมเพื่อนที่อยู่ขอนแก่นก็มายืนยันอีกเสียงว่าร้านนี้เด็ดสุดๆพลาดไม่ได้ ร้านนี้เปิดตอน เก้าโมงครึ่ง หยุดคิดก่อนเล็กน้อยว่าจะกินดีไม่กินดี เพราะกลัวว่าถ้ากินแล้วจะไปถึงหน้าอุทยานไม่ทันปิดขายตั๋วตอนบ่ายโมงครึ่ง ดู Google Maps คำนวณเสร็จสรรพ เครื่องบินลงแปดโมงครึ่ง ถึงร้านเก้าโมงครึ่ง ถึงบขส.สิบโมง เดินทางอีกสองชั่วโมง ถึงหน้าอุทยานชิวๆตอนเที่ยง คิดเสร็จได้ข้อสรุปว่าไปกินได้ เลยตัดสินใจ Facebook ไปหาที่ร้านขอสั่งไว้ก่อน และไปรับตอนเก้าโมงครึ่งตอนร้านเปิดพอดี ถึงจะแอบเกรงใจร้านนิดหน่อยเพราะไปขอให้เค้าทำก่อนเปิด แต่ด้วยความอยากกินก็เลยขอไป ทางร้านน่ารัก ตอบสนองอย่างดีว่ามารับได้ตอนเก้าโมงครึ่ง ดีใจมาก เลยต้องศึกษาเส้นทางเดินรถใหม่ ปรากฎว่าต้องต่อซิตี้บัสสองต่อ เริ่มมีความยุ่งยาก ประกอบกับซิตี้บัสออกจากสนามบินตอนแปดโมงครึ่งพอดี เลยคิดว่าคงอด โชคดีที่ขอนแก่นมี Grab และมาพร้อมโปร ไปไหนก็ได้ไม่เกิน 150 จ่าย 39 บาท จากที่จริงๆต้องเสียร้อยกว่าบาท เลยประหยัด แล้วได้นั่งรถสบายๆ
Day 1 Bangkok – Khon Kaen – Phu Kradueng
วันนี้มาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณหกโมงกว่า ทั้งสองคนยังไม่ได้กินอะไรกันเลย คิดกันว่าต้องหาอะไรกินก่อนขึ้นเครื่อง พอเข้ามาถึงในเกท หันซ้ายหันขวาเจอ Ippudo เลยเข้าไปนั่งกิน ด้วยความไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เข้าร้าน มีเวลาเหลืออยู่แค่ 20 นาทีก่อนเวลาขึ้นเครื่อง นั่งรออาหารไป ถ่ายรูปเล่น อาหารมาก็กินแบบชิว ไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย พอกินเสร็จกำลังจะเอายาขึ้นมากิน แฟนบอกว่านี่เจ็ดโมงแล้วนะ ตกใจมาก คิดในใจว่าจะตกเครื่องหรอเนี่ย เพราะว่า Boarding time คือ 6.50 น. เลยรีบเก็บของ พากันวิ่งไปที่เกท สรุปว่าตื่นตูมกันไปเอง มาถึงเกทประมาณ 7.05 น. คิวยังยาวเหยียด ไม่มีการเรียกขึ้นเครื่อง
ถึงตอนเรียกขึ้นเครื่องไม่ตรงเวลา แต่ Air Asia ก็มาถึงสนามบินขอนแก่นตรงเวลาเป๊ะ ตอนแปดโมงตรง ออกจากสนามบินมาขึ้น Grab พี่คนขับใจดีชวนคุยนู้นนี่ บอกมาขอนแก่นจะกินอาหารเช้าต้องไปร้านเอมโอช ประสิทธิ์โภชนาที่เราคิดว่าน่ากินหนักหนา ไม่อยู่ในหัวพี่เค้าเลย ฟังเค้าไปฟังเค้ามา ประกอบกับเวลายังเหลืออีกครึ่งชั่วโมง แถมทั้งสองร้านอยู่ห่างกันแค่ 450 เมตร เลยบอกพี่เค้าว่าไปร้านเอมโอชก็ได้ พี่เค้าดูดีใจที่ขายของได้ผล ไปถึงร้าน ก็คงต้องบอกว่าพี่เค้าแนะนำไม่ผิด เอมโอชดูเป็นร้านอาหารเช้าชื่อดังของจังหวัด ร้านสองห้องแถวใหญ่ มีคนแวะเวียนมากินไม่ขาดสาย เราสองคนสั่งก๋วยจั๊บญวน กับไข่กระทะมากิน รสชาติใช้ได้ตามมาตรฐาน กินเสร็จเดินต่อไปที่ประสิทธิ์โภชนา ถึงหน้าร้านประมาณ 9.20 น. ร้านดูเปิดแล้ว แต่กำลังเตรียมของอยู่ ไปถึงคุณป้าหน้าร้านดูไม่รับรู้ถึงการสั่งอาหารใน Facebook ของเรา คิดในใจว่าสงสัยไม่ทันแน่ๆ ปรากฎว่าป้าอีกคนเดินถือกระดาษที่มีออเดอร์ของเรามาให้ เสือร้องไห้ 2 เนื้อลายลวก 1 หมูแดดเดียว 1 ผ่านไปแป๊ปเดียวเก้าโมงครึ่ง อาหารก็ใส่ถุงออกมาตามเวลา ตรงเวลาสุดๆ ระหว่างรอเรียก Grab แอบแกะเสือร้องไห้มากินตอนร้อนๆ อร่อยไม่ผิดหวัง จนลืมถ่ายรูป จากหน้าร้านไปลงที่บขส. 3 ใช้โปร 39 บาทอันเดิม คุ้มสุดๆ แถมพี่คนขับใจดีมีการวนไปวนมาหารถเมืองเลย ส่งให้ถึงหน้ารถทัวร์เลย
ตอนซื้อตั๋วรถทัวร์แอบงงเล็กน้อย เพราะตอนแรกอ่านมาทุกคนบอกให้ไปลงหน้าร้านเจ้กิม ผานกเค้า แต่พอบอกคนขายตั๋ว เค้าทำหน้าเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แล้วบอกว่าไปลงภูกระดึงนั่นแหละ แล้วเดี๋ยวก็มีรถต่อไปหน้าอุทยานฯ เราก็งงๆ แต่ก็คิดว่าเค้าไม่น่าบอกผิด ก็เลยเชื่อตามเค้า ราคาตั๋วไปภูกระดึงตกอยู่ที่คนละ 83 บาท ซื้อตั๋วเสร็จรอไม่เท่าไหร่ ถึงเวลาสิบโมง รถออกทันที ความตลกคือ ไม่รู้จะตรงเวลาไปไหน คือตอนช่วงที่รถออกยังมีคนขนของเข้ารถ เดินขึ้นรถอยู่ แต่รถก็ไม่หยุดให้ ขยับๆว่าต้องออกเดี๋ยวนี้แล้ว สุดท้ายพอรถออกมาได้ไม่เท่าไหร่ ไม่รู้คนขับทำอะไร ขับด้วยความช้า กว่าจะวนออกจากบขส.ได้เกือบเป็นสิบนาที ไม่รู้ว่าตอนแรกจะรีบไปทำไม
หลังจากขึ้นรถมาความอยากกินของที่ซื้อมาก็เป็นทวีคูณ แต่ก็ไม่กล้าหยิบออกมากิน เพราะแอบกลัวว่าจะมีกลิ่นเหม็นกวนคนอื่น ได้แต่เอาหมูแดดเดียวออกมาเล็มชิม ชิ้นสองชิ้น นั่งรถไปหลับไปตื่นนึง ตื่นขึ้นมา ดูใน Google Maps เหมือนว่าจะยังไปได้ไม่ถึงไหน มาเข้าใจตอนนี้ที่เค้าบอกว่านั่งรถหวานเย็นมันเป็นยังไง ช้าสุดๆ ดูเวลาไปมาแอบมีลุ้นว่าจะไปไม่ทัน รถค่อยๆเคลื่อนตัว สลับกับจอดรับคน จนมาถึงจุดจอดพักใหญ่คือที่ท่ารถชุมแพ พอมาถึงจุดนี้แม่ค้าขึ้นมาขายของกินเต็มไปหมดข้าวเหนียวไก่ย่าง หมูทอด ไข่ปิ้ง นู้นนี่ ทำให้เพิ่งมารู้ว่าเค้ากินอาหารกันบนรถได้ เสร็จเราล่ะ ทีนี่การกินก็ได้เริ่มขึ้นเต็มรูปแบบ แกะแจ่ว แกะข้าวเหนียวมากินแบบจริงจัง อร่อยมาก ข้าวเหนียวก็อร่อย แจ่วก็อร่อย กินแบบอย่างเพลิน แก้เบื่อรถเต่าไปได้
ในที่สุดประมาณเกือบเที่ยงครึ่ง รถก็ผ่านหน้าร้านเจ้กิม จุดนี้ก็เงียบๆ มึคนลงแค่คนสองคน นั่งต่อไปอีกนิดนึง ก็ถึงจุดลงของภูกระดึง การนั่งรถทัวร์นี้ไม่มีการบอกว่าถึงไหนแล้ว เหมือนทุกคนจะรู้ได้เองว่าต้องลงจุดไหน ถึงเราสองคนจะมีบอกกระเป๋ารถว่าถ้าถึงแล้วให้ช่วยมาบอก แต่ก็ไม่มีการกระทำนั้นเกิดขึ้น โชคดีที่มี Google Maps ทำให้พวกเราดูได้ว่าถึงจุดไหน จุดนี้มีคนลงมาพร้อมเราอีกสองคน เรารีบเดินเข้าไปถามว่าเค้าไปภูกระดึงรึป่าว แอบดีใจตอนเค้าบอกว่าไป เพราะมีคนหารค่ารถด้วย มาถึงเจอคุณป้าเจ้าของร้าน พยายามถามไถ่ว่ากินข้าวมารึยัง มีข้าวกระเพรานะ เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ เราก็บอกคุณป้าไปว่ากินมาแล้ว พร้อมไปเลย คุณป้าเจ้าของร้านบอกว่าค่ารถ 240 บาท ให้หารกันสี่คน พวกเราขอเข้าห้องน้ำก่อน พอเดินออกมาคุณป้าก็ถามว่ากินข้าวมั๊ย ข้าวกระเพราเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ประหนึ่งเพิ่งเจอหน้ากัน ระหว่างนั่งรอ ที่ไม่รู้ว่ารออะไร ก็มีรถทัวร์มาจอด ทำให้มีอีกสองคนมาหารค่ารถเพิ่ม คุณป้าเรียกรถมาให้ ออกเดินทางด้วยราคาคนละ 40 บาท
ขับไปไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงหน้าอุทยานฯ มีการเก็บค่าเข้าอุทยานฯคนละ 40 บาท จากนั้นไปถึงที่ทำการ ก็จะมีการเรียกเก็บค่าใช้พื้นที่บริการเต็นท์อีกคนละ 30 บาท ค่าประกันอุบัติเหตุ 10 บาท ณ จุดนี้ได้ใบเสร็จมารวมกันสองคน หกใบแล้ว ทุกการจ่ายเงินเจ้าหน้าที่จะบอกให้เก็บบัตรเอาไว้ด้วยนะคะ แถมบอกให้ถ่ายรูปไว้ด้วย น่าจะเป็นห่วงเรื่องตอนเคลมประกัน เดี๋ยวหลักฐานจะไม่ครบ เป็นการเก็บแบบกระปิดกระปอยสุดๆ ก่อนจะไปด่านจ่ายเงินต่อไป สิ่งที่ไม่ลืมทำคือการเอาสมุดอุทยานฯออกมาขอตราประทับจากเจ้าหน้าที่ ปั๊มเสร็จก็แต่งตัว ใส่หมวก ทาครีมกันแดด แล้วก็ไปยังจุดจ่ายเงินต่อไป ค่าบัตรกระเป๋า ใบละ 5 บาท อันนี้ก็จะได้บัตรมา ส่วนนึงติดกระเป๋า ส่วนนึงเก็บไว้ เป็นการสะสมกระดาษก่อนขึ้นภู ส่วนค่าลูกหาบที่กิโลละ 30 บาท เค้าบอกให้จ่ายตรงกับลูกหาบ ตอนที่ขึ้นไปรับของด้านบน กระเป๋าใบใหญ่ของพวกเราสิบกิโลพอดี ส่วนใบเล็กอีกห้ากิโลแบกไปเอง
ในที่สุดก็ได้เวลาออกเดินทางขึ้นสู่ภูกระดึง พวกเราไปลงทะเบียนเขียนชื่อ เริ่มขึ้นภูตอน 13.20 น. อากาศไม่ร้อนมาก แม้แดดจะแรงสุดๆ เดินไต่ขึ้นมาเรื่อยๆ ครั้งนี้รู้สึกเลยว่าความฟิตลดลงจากมาครั้งที่แล้วมาก ระหว่างเดินรู้สึกถึงความเหนื่อย ประกอบกับกำลังเป็นไซนัสอยู่จมูกตันหายใจไม่สะดวก เสียงหายใจหอบดังมาก ถ้ามีคนเดินผ่านมา คงตกใจ เราสองคนเดินกันไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยได้หยุดพัก เดินผ่านคนมาสักสามสี่กลุ่มเล็กๆ คนไม่ค่อยเยอะมาก เดินมาเรื่อยๆจนถึงซำแฮก แวะกินน้ำโซดามะนาวคนละสองแก้ว แม่ค้าใจดี แถมแตงโมฟรีมาให้กินด้วย ไม่รู้ว่าแม่ค้ามั่วหรือความจำดี อยู่ๆก็ทักว่าเคยมาแล้วใช่มั๊ย จำได้ พอเค้าทักเราก็รู้สึกคุ้นๆว่าครั้งที่แล้วก็มานั่งกินร้านนี้จริงๆ นั่งพักพอหายเหนื่อย ก็เดินกันต่อไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางจะเจอลูกหาบเดินลงมา ทุกคนก็จะชอบพูดให้กำลังใจว่าจะถึงแล้ว ซึ่งจริงๆคือโดนหลอกนั่นแหละ ใกล้จะถึงแล้วของเค้านี่คือเดินอีกเป็นชั่วโมงๆ ช่วงท้ายๆของการเดินจากซำแคร่ก่อนขึ้นถึงหลังแป ทางจะค่อนข้างชัน สลับกับการมีบันไดสูงอยู่สองสามจุดให้ไต่ขึ้นไป บริหารกล้ามเนื้อขาได้เป็นอย่างดี
เราสองคนเดินมาถึงหลังแป จุดถ่ายรูปกับป้าย ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตผู้กระดึง ตอนสี่โมงครึ่ง จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วจำได้ว่าพอถึงหลังแปแล้วต้องเดินต่อ 3 กม.นี่ร้อนมาก เพราะไม่มีร่มเงาไม้เลย ครั้งนี้เห็นมีจุดเช่าจักรยานอยู่ เลยตัดสินใจได้ง่ายๆควักเงิน 60 บาท จ่ายไปเพราะหวังว่าจะสบายขึ้น ปรากฎว่าไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิด ทางขี่จักรยานก็ไม่ได้ขี่ง่ายๆ ขรุขระตลอดทาง ช่วงที่เป็นทางลง ก็เร็วซะจนหวาดเสียว เพราะสภาพของจักรยานก็ดูไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ แต่พอช่วงที่เป็นทางขึ้นก็ขี่ยากสุด เป็นจุดเริ่มต้นของการปวดกล้ามเนื้อหน้าขาสุดๆ ข้อดีอย่างเดียวก็คือไม่ร้อน เพราะลมพัดตลอดจากความเร็วของจักรยาน ทำให้หนาวจนน้ำมูกไหลเลย แม้ว่าจะเอาบัฟปิดหน้าไปแล้ว ขี่ไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าทำไมมันนานผิดปกติ แล้วทางก็ดูไม่คุ้นจากครั้งที่แล้ว เห็นคนเดินย้อนมาสองสามกลุ่ม เลยต้องถามเพื่อความแน่ใจ สุดท้ายก็คือมาถูกทางแล้ว แต่เพิ่งรู้ว่าระยะเพิ่มมาอีกกิโลนึง เพราะเป็นคนละเส้นทางกับเส้นทางเดิน
ขี่ไปประมาณครึ่งชั่วโมง เราสองคนก็เห็นป้ายจุดคืนจักรยาน เดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราจัดการจ่ายเงินค่าเต็นท์ ครั้งนี้ขอเลือกเป็นเต็นท์ใหญ่สำหรับ 3-5 คน เพราะอยากอยู่แบบสบายๆ ราคาตกคืนละ 400 บาท พร้อมเช่าหมอน แผ่นรองนอน ถุงนอนอีกคนละ 60 บาท ได้ใบเสร็จมาอีกหนึ่งชุดที่เจ้าหน้าที่กำชับเหมือนเดิมว่าให้เก็บไว้ ตอนนี้กระเป๋าเสื้อแทบไม่มีที่ใส่ เต็มไปด้วยเศษกระดาษ ก่อนเดินไปที่เต็นท์ไม่ลืมให้เจ้าหน้าที่ประทับตราในสมุดอุทยานฯ ตราด้านบนจะต่างจากด้านล่าง มีบอกว่าเราเป็นผู้พิชิต เจ้าหน้าที่พาเดินไปส่งที่เต็นท์ เต็นท์ที่ได้ทำเลก็ดี แยกออกมาเดี่ยวๆใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็อยู่ในบริเวณใกล้กับคนอื่น ไม่น่ากลัว แถมเดินจากห้องน้ำก็ไม่ไกลมากนัก พวกเราเข้าเต็นท์ตัดสินใจได้ว่า ไม่ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูก เพราะจากตอนที่ขี่จักรยานมา ก็ผ่านผาหมากดูกไปแล้ว และพอคิดถึงระยะทาง ก็ขี้เกียจสุดๆ
พวกเราเดินไปหาลูกหาบ ตามคาดกระเป๋ายังไม่มา แต่ไม่เป็นไรเพราะพวกเราวางแผนเอาผ้าเช็ดตัว เครื่องอาบน้ำ และชุดมาเปลี่ยนเรียบร้อย ทำให้อาบน้ำได้เลย ไม่ต้องรอกระเป๋า ซึ่งถือเป็นความโชคดี เพราะอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว น้ำเย็นมาก กว่าจะอาบได้ ต้องยืนทำใจอยู่นาน อาบเสร็จกลับมาที่เต็นท์ประมาณหกโมง อากาศหนาวแล้ว ใส่เสื้อหนาว เดินจากเต็นท์ไปแวะดูกระเป๋า ก็ยังไม่มา เลยเดินเลยต่อไปกินข้าวเย็นเลย ตามธรรมเนียมข้าวเย็นมื้อแรก จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากหมูกระทะ ครั้งนี้กินร้านใบเฟิร์นซึ่งอยู่ค่อนมาทางด้านหลังหน่อย เพราะร้านต้นๆคนค่อนข้างเยอะ นั่งเป็นลูกค้าคนแรกของร้านเลย หมูกระทะ 500 บาท ปริมาณเยอะตามราคา มีแถมข้าวผัดฟรี พี่เจ้าของร้านใจดี ชวนพูดคุยตามอัธยาศัยแม่ค้าภูกระดึง ก่อนกลับซื้อน้ำขวดใหญ่กับพี่เค้า พี่เค้าให้ยืมถุงผ้ามา แม้ว่าเรายืนยันกันว่าจะไม่เอา เพราะกลัวลืมเอามาคืน พี่เค้าก็บอกไม่เป็นไร ลืมก็ให้เอากลับไปเลย
อิ่มแล้ว เดินกลับมาบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเกือบสองทุ่ม ตอนนี้กระเป๋ามาถึงเรียบร้อยแล้ว รับกระเป๋าเสร็จได้ขาตั้งกล้อง เลยรีบออกมาถ่ายรูปดาวกัน ความตั้งใจในครั้งนี้ คือการมาตามล่าหาทางช้างเผือก เราทั้งสองคนไม่เคยถ่ายกันมาก่อน แต่ก็ศึกษาวิธีถ่ายในอินเตอร์เน็ตมาเรียบร้อย เดินวนไปวนมาหาจุดถ่ายค่อนข้างลำบาก เพราะทุกพื้นที่จะมีไฟของอุทยานฯส่องแสงนำทางอยู่ ครั้นจะเดินออกไปถ่ายในที่มืดๆก็กลัวทากจะกระโดดมาดูดเพราะก่อนเข้าเต็นท์มีทากเกาะอยู่รอบเต็นท์หลายตัว วนไปวนมา เปลี่ยนพื้นที่ไปหลายจุดหา สุดท้ายถ่ายไปถ่ายมาก็ติดทางช้างเผือกมาได้ เราสองคนดีใจกันใหญ่ คือเอาจริงๆถ้าให้นักถ่ายรูปโปรมาดูคงเฉยๆ แต่สำหรับเราสองคนแค่ถ่ายติดก็ดีแล้ว โชคดีมากๆที่ฟ้าเป็นใจ ดาวเต็มท้องฟ้า แถมมองทางช้างเผือกเห็นได้ด้วยตาเปล่าอีก คืนนี้พอใจ เดินกลับเต็นท์อย่างสบายใจ
ก่อนนอนเจ้าหน้าที่มีประกาศว่าถ้าพรุ่งนี้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ให้มาเจอที่ศูนย์บริการฯตอนตีห้า เจ้าหน้าที่จะนำทางเดินไปที่ผาหมากดูก ได้ยินแล้ว เราสองคนไม่มีการนัดหมายใดๆ แยกย้ายกันเข้านอน
Day 2 Phu Kradueng
รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเองตอนประมาณ 5.20 น. แอบสะกิดแฟน ถามว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นมั๊ย แฟนบอกว่าไม่ไป ในใจก็นึกเสียดายอยู่หน่อยๆ เพราะอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เห็นแฟนยังอยากนอนต่อก็เลยไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปประมาณห้านาที เดาว่าแฟนคงนอนต่อไม่หลับ ลุกขึ้นมาบอกว่าไปดูพระอาทิตย์กัน เราก็โอ้เอ้ ถามไปถามมาว่าจะไปจริงหรอ กว่าจะลุกขึ้นมาได้ ไปแปรงฟันล้างหน้าก็ใช้เวลาอยู่กว่าสิบนาที จำได้ว่ากว่าจะเดินผ่านศูนย์บริการฯก็ 5.40 น. แล้ว ถามเจ้าหน้าที่บอกว่าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไปทางไหน เจ้าหน้าที่ทำหน้าตาเอือมบอกเค้านัดกันตีห้าเน้อ แล้วชี้ทางไปให้ดู สองคนพากันเดินไปตามทาง ในใจก็คิดว่าจะไปทันพระอาทิตย์ขึ้นมั๊ย เพราะระหว่างเดินฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ
เดินมาถึงผานกแอ่นประมาณหกโมงนิดหน่อย เห็นนักท่องเที่ยวมารออยู่ก่อนหน้าพอสมควร ไม่เยอะมาก พอมีที่เหลือให้ตั้งกล้องถ่ายรูปได้อย่างสบายๆ มองไปที่ท้องฟ้า ฟ้าสว่าง เห็นแสงอาทิตย์อยู่ไรๆ ยืนไม่ถึงห้านาที เจ้าหน้าที่ตะโกนบอก ขึ้นแล้วนะครับ ก็เห็นพระอาทิตย์โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าพอดี สองคนมองหน้ากันบอกเป็นไงมาพอดีเลย ไม่ต้องมารอเหมือนคนอื่น หารู้ไม่ว่าก่อนหน้า พลาดหมอก พลาดแสงสวยๆอะไรไปบ้าง ยืนถ่ายรูปเล่น กินโอวัลตินที่เจ้าหน้าที่มาตั้งโต๊ะขายอยู่พักใหญ่ ก็เดินกลับ
กลับมาถึงมากินโจ๊กร้อนๆ อากาศเริ่มอุ่นขึ้นบ้าง พอกลับถึงเต็นท์นี่ แทบจะอยู่ในเต็นท์ไม่ได้ เพราะแดดส่องแรงสุดๆ รีบจัดอุปกรณ์ Headlamp เสื้อหนาว น้ำ ชีสบอล ข้าวเหนียวหมู มีทั้งหมูกระเทียม และหมูแดดเดียว ที่ขาดไม่ได้คือแจ่วที่เหลืออีกหนึ่งถุงจากร้านประสิทธิ์โภชนา
เริ่มต้นออกเดินทาง เส้นทางวันนี้วางแผนกันไว้ว่าจะเดินเส้นทางน้ำตกให้ครบ แล้วก็ตัดไปออกที่ผาหล่มสัก เส้นทางเดินได้สบายๆ เป็นทางราบๆไม่มีทางชันสักเท่าไหร่ มีแค่บางช่วงที่อาจจะต้องปีนป่ายลงไปเพื่อให้เห็นน้ำตกชัดขึ้น อากาศก็ไม่ร้อน เพราะเส้นทางน้ำตกส่วนใหญ่ จะมีต้นไม้ปกคลุมอยู่ เดินสบายๆ เรื่มต้นจากน้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกพ่วงพบ น้ำตกโผนพบ สนุกสนานกับการทดลองถ่ายรูปน้ำตก ดอกไม้ สวยบ้างไม่สวยบ้างตามภาษา เดินช่วงนี้ไม่เหนื่อยเลย เพราะหยุดถ่ายรูปแต่ละจุดค่อนข้างนาน เลยเหมือนได้พักขาไปด้วย
ใกล้เที่ยงเราสองคนก็หยุดกินข้าวกลางวันที่น้ำตกเพ็ญพบ บรรยากาศดี นั่งกินข้าวหน้าน้ำตก อากาศเย็นสบาย นั่งไปได้พักนึง ก็ไม่เป็นสุข เพราะมีขบวนมดมารายล้อม เลยนั่งๆยืนๆกินไปแบบเก้ๆกังๆ
หลังจากอาหารกินอาหารเที่ยงเสร็จก็มาพบกับข่าวร้าย คือน้ำที่เตรียมมา เกือบจะหมดแล้ว จริงๆก็เตรียมน้ำมาน้อยไป เอามาแค่หนึ่งขวดใหญ่ 1.5 ลิตร สำหรับ 2 คน ประกอบกับทางเดินเริ่มเป็นป่าเปิด แบบไม่มีต้นไม้สองข้างทาง ทำให้รู้สึกคอแห้งหิวน้ำมาก เดินไปเรื่อยๆ ผ่านน้ำตกถ้ำใหญ่ จนถึงสระอโนดาด ตรงนี้มีคนมานั่งพัก นอนเล่น กินข้าว ดิ่มน้ำกันอยู่หลายคน เห็นแล้วอิจฉา เพราะทุกคนมีน้ำกันหมด
ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เดินต่อไปเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มร้อน เพราะต้องเดินตากแดด ไม่มีร่มเงาไม้เลย เดินๆๆต่อไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมงๆ รู้สึกคอแห้งมาก ผ่านน้ำตกธารสวรรค์ และน้ำตกถ้ำสอเหนือ สุดท้ายก็พากันมาถึงที่ผาหล่มสักประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง เป็นการจบเส้นทางน้ำตก
ตรงดิ่งไปยังร้านกาแฟชมพู่มะเหมี่ยว ที่พวกเราได้ทำการจองบราวนี่ไว้สามชิ้นตั้งแต่ก่อนมา จากการโดนปลุกกระแสว่าถ้ามาแล้วไม่ได้กินจะเหมือนมาไม่ถึง แต่สุดท้ายลงความเห็นกันว่าของเด็ดที่นี่ไม่ใช่บราวนี่ แต่กลับเป็นกาแฟสด รสชาติอร่อย เหมือนกินในเมืองเลยทีเดียว กินเสร็จก็ขอย้ายร้านไปกินข้าวเหนียวน้ำตกรองท้องสำหรับการเดินขากลับซะหน่อย ป้าร้านนี้ ดูจะต่างจากร้านอื่นๆ คือยุ่งตลอดเวลา ไม่มีเวลาแม้แต่จะมาคุยหรือต้อนรับ ทั้งๆที่คนก็ไม่เยอะ แต่ป้าเค้ามีหลายร้านต้องดูแล ทั้งร้านขายเสื้อผ้า ขายน้ำแข็งใส ขายกับข้าว ขายกาแฟ
กินเสร็จก็ได้เวลาเดินไปถ่ายรูปภาคบังคับที่ผาหล่มสัก ถ่ายได้สบายๆ เพราะคนไม่เยอะมาก ถ่ายรูปเสร็จประมาณเกือบห้าโมง ก็พากันเดินกลับ
โดยครั้งนี้ได้คุยกันสองคนและตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่อยู่ดูพระอาทิตย์ตกดิน เพราะมีความกลัวที่จะต้องเดินแบบมืดๆวังเวงกลับนานๆ เข็ดจากประสบการณ์ครั้งก่อน ระหว่างเดินกลับก็เดินเก็บถ่ายรูปตามป้ายผาต่างๆ ฟ้าก็เริ่มมืดลง พร้อมกับอากาศที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่ร้านค้าตามแต่ละผายังเปิด ทำให้เป็นจุดสังเกตได้ว่าถึงผาแล้ว เราสองคนเดินมาถึงผานาน้อยก็มืดสนิทพอดี ทำให้พลาดถ่ายรูปกับผาจำศีลที่เป็นผาใกล้ๆต่อไป เพราะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
สุดท้ายมาจบที่ผาหมากดูก ตรงนี้ดูอุ่นใจมาก เพราะร้านค้าร้านใหญ่ แสงส่องสว่าง เราตัดสินใจยืนถ่ายทางช้างเผือกที่จุดนี้ เพราะดูในแอพมาว่าเป็นเวลาที่ทางช้างเผือกขึ้นพอดีประมาณทุ่มตรง พอหันหน้ามองออกไปนอกผาเท่านั้นแหละ ก็ได้เจอกับภาพอันสวยงาม ดาวเต็มท้องฟ้า ทางช้างเผือกขึ้นเห็นชัดเจนกว่าตอนเมื่อวานอีก รีบเอาขากล้องออกมาตั้ง หามุมถ่ายกันใหญ่ ด้วยความที่ถ่ายกันไม่เก่ง ก็ถ่ายกันหลายรูป แก้ไปแก้มา มุมได้บ้าง แสงไม่ได้บ้าง อากาศก็เย็น ขนาดใส่เสื้อหนาวครบชุดยังหนาวเลย สุดท้ายจากทีกะว่าจะถ่ายแค่แป๊ปเดียว แล้วจะได้มีเพื่อนเดินกลับ ปรากฎว่าถ่ายอยู่เป็นชั่วโมง จนน่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ ตอนถ่ายมีแกงค์จักรยานกลุ่มใหญ่ขี่กันมา น่าจะเกือบ 40-50 คันได้ ตามด้วยคนหลายกลุ่มทยอยมาเรื่อยๆ สุดท้ายกว่าเราสองคนจะตัดสินใจกลับก็ประมาณสองทุ่ม เดินแบบวังเวงอีกเกือบชั่วโมงจนโผล่มาถึงร้านอาหารตอนสามทุ่ม
วันนี้เลือกกินอาหารตามสั่ง ร้านที่นั่งกินคนค่อนข้างเยอะ รออาหารอยู่นาน แต่อาหารอร่อย เป็นร้านเดียวกับที่มากินครั้งที่แล้ว และยังติดใจรสชาติอยู่ สภาพขาตอนนี้เริ่มสะบักสะบอมกว่าครั้งที่แล้วที่มามาก อาจเป็นเพราะความฟิตลดลง แล้วยังเดินขึ้นๆลงๆเยอะจากการปีนไปมาเพื่อดูน้ำตก ต่างจากครั้งที่แล้วที่เดินทางราบๆเส้นเรียบหน้าผา แถมเท้าก็มีความพอง จากการเสียดสีของรองเท้าอีก นั่งรออาหารอยู่เหลือบไปเห็นป้ายว่ามีบริการอาบน้ำอุ่น อยากใช้บริการใจจะขาด แต่ป้าเจ้าของร้านบอกไฟดับสี่ทุ่ม ตอนนั้นก็สามทุ่มกว่าแล้ว แค่คิดว่าจะต้องเดินกลับไปกลับมาเอาของที่เตนท์ก็ไม่ทัน คืนนั้นเลยข้ามการอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นใช้ทิชชู่เปียก เพื่อนรู้ใจทุกเขาแทน คืนนี้เรียกได้ว่าหลับเป็นตาย เหนื่อยสุดๆ
Day 3 Phu Kradueng – Loei
ประมาณเกือบตีห้าก็ตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา น่าจะเป็นพวกที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่พักใหญ่ ก็ตัดสินใจลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จก็กลับมาเก็บของเตรียมเดินลงกลับ ระหว่างจะเดินออกไปกินข้าว เห็นลูกหาบมายืนกันเต็ม รีบไปถามเค้าว่าถ้าจะเอากระเป๋าลงไปให้ถึงก่อนเที่ยงเลยได้มั๊ย เค้าเลยบอกให้เอามาฝากเลย เราสองคนเลยเดินกลับไปเอากระเป๋ามาส่งให้พี่เค้าก่อน แล้วถามว่าไปรอบแรกๆให้ถึงข้างล่างประมาณเที่ยงได้มั๊ย เพราะถ้าช้ากระเป๋าอาจจะลงถึงประมาณ บ่าย 2-3 พี่เค้าบอกว่าจะลงทันเที่ยงจริงรึป่าว อย่าให้เค้ารีบๆแล้วสุดท้ายพวกเราลงไม่ถึงนะ พอเค้าพูดก็แอบหวั่นใจเล็กน้อย แต่ด้วยความที่กลัวจะเอากระเป๋าได้ช้า ก็เลยยืนยันกลับไปว่าเอาให้ถึงตอนเที่ยง
ส่งกระเป๋าเรียบร้อย ก็ถึงเวลาไปกินข้าวเช้า วันนี้ไปที่ร้านพี่คนแรก หลักสูตรการให้กระเป๋าผ้านี่ได้ผลจริงๆ เราสองคนก็ต้องเอากระเป๋าผ้ากลับไปคืน ครั้นจะกลับไปคืนเฉยๆก็คงจะแปลก เลยต้องกินข้าวเช้าที่ร้านพี่เค้า วันนี้พี่เค้าทำข้าวขาหมู เราเอาวุ้นเส้นต้มยำ กับโอวัลตินมาขอน้ำร้อนพี่เค้า พี่เค้าก็ไม่ได้คิดตังเพิ่ม เลยสั่งข้าวเหนียวหมูแดดเดียวพี่เค้าไปอีกจาน ตั้งแต่อยู่บนภูรู้สึกติดการกินข้าวเหนียวมาก มีข้าวเหนียวเมื่อไหร่จะรู้สึกอร่อย มีความสุขเมื่อนั้น
กินข้าวเสร็จ ก็เดินไปเขียนโปสการ์ดส่งถึงตัวเอง ตรงนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน นั่งชิวเพลินจนลืมเวลา กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เกือบเก้าโมง เราสองคนเดินกลับไปที่เต็นท์เพื่อเอาเครื่องนอนต่างๆมาคืน เจ้าหน้าที่ เอกสารใบเสร็จที่เจ้าหน้าที่บอกให้เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ตามเคย ไม่เช็คของด้วยซ้ำว่าคืนครบรึเปล่า จากนั้นเราก็เดินลง
การลงเขานี่เป็นสิ่งที่ไม่ชอบเลย เพราะเป็นคนที่รู้สึกว่าลงเขาช้าๆไม่ได้ ได้แต่ลงเร็วๆ กึ่งวิ่ง นิ้วเท้าก็กระแทกหัวรองเท้า แถมขาที่ปวด ก็จะเจ็บทุกครั้งที่เดินลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ช้าไม่ได้ ไหลๆๆลงมาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งก็ลงมาถึงด้านล่างตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งพอดี ขาพังสุดๆ รีบเดินมาหาพี่ลูกหาบเลย เพราะอยากจะกลับแล้ว
รับกระเป๋าเรียบร้อย ก็ประสบปัญหาเดิมกับครั้งที่แล้ว คือลงมาไม่มีใครลงมาถึงพร้อมกัน จะรอก็ไม่อยากรอ เพราะว่าอยากพักสบายๆแล้ว เดินไปที่จอดรถ เห็นรถสองแถวจอดอยู่สามสี่คัน ถามว่ามีรถมั๊ย ก็ได้รับคำตอบว่าต้องเหมาเพราะตอนนี้ไม่มีคน ถ้าเหมาไปที่คิวรถภูกระดึงก็ 300 บาท หรือจะเหมาไปถึงตัวเมืองเลยก็ 1,200 บาท ที่ไม่น่าเชื่อคือ คนขับรถสองแถวนี่คือคุณลุงคนเดิมกับที่เรายอมเหมารถกับเค้าเมื่อสองปีที่แล้ว สงสัยลุงจะรู้มาดักรอตีหัวตลอด สุดท้ายก็จนใจ ไปกับลุงเหมือนเดิม ลุงขับสองแถวไปบ้านใกล้ๆเปลี่ยนเป็นรถกระบะคันเดิม แล้วก็ขับไปส่ง พอขึ้นรถพวกเราสองคนก็หลับไป หลับไปได้สักเกือบชั่วโมง ตื่นมายังไปได้ไม่ถึงไหน เพิ่งมารู้ว่าลุงขับรถช้าสุดๆ ไม่รู้ติดนิสัยขับรถสองแถวรึป่าว แต่คิดในแง่ดีก็ปลอดภัยดี แถมได้ติดไฟแดงทุกแยกอีกต่างหาก
ลุงมาส่งถึงหน้าโรงแรมประมาณบ่ายโมง จัดการเช็คอินเก็บของเรียบร้อย กะจะเดินไปกินข้าวเปียกปากหมาซะหน่อย ปรากฎว่าร้านปิด เลยได้ไปกินข้าวเปียกลานชัย ที่อยู่ข้างๆข้าวเปียกปากหมา กินดูแล้วรสชาติสองร้านคล้ายกันเลย แถมขายดีทั้งสองร้าน ก็ดีถือว่าได้ลองร้านใหม่ กินเสร็จกลับไปนอนเล่นในห้อง
พอรู้สึกว่าแดดเริ่มร่มก็ออกไปหาของกินต่อ ที่อยากไปกินก็เป็นของเดิมๆที่ติดใจจากครั้งที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นขนมเบื้องญวน ข้าวเกรียบปากหม้อ ส้มตำชุดไทยที่ตลาดเย็น ตอนนี้ผลก็ของการไหลๆลงมาจากเขาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ปวดขาแบบเดินลงบันไดแล้วจะเจ็บ โชคดีครั้งนี้ได้สามล้อ ลุงคิดคนละ 20 บาท ราคารับได้ พอไปถึงได้กินครบ ขาดแต่ข้าวเกรียบปากหม้อ ด้วยความที่ก่อนลงลุงทักว่าทำไมไม่ไปถนนคนเดิน ของกินเยอะกว่า เลยอยากรู้ว่ามีอะไร เรียกรถต่อไปที่ถนนคนเดิน คราวนี้แอบโดนโก่งราคาเล็กน้อย ระยะทางแค่ครึ่งนึงของขามา แต่โดนเรียกไปคนละ 30 บาท
มาถึงถนนคนเดิน แอบผิดหวังเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยมีของพื้นบ้าน ของพื้นบ้านที่เห็นอย่างเดียวจะคือพวกแอ๊บ สุดท้ายมองไปเห็นอั่วพริกหยวก คิดว่าน่าจะปลอดภัย และดูพื้นบ้านดี เลยซื้อติดกลับด้วย ส่วนแฟนไม่ค่อยชอบอะไรแปลกใหม่เลยซื้อบาร์บีคิวไก่มาแทน ขากลับแอบต้องเดินรอรถสามล้ออยู่นาน โชคดีมีโผล่มาคันนึง เลยได้กลับ
พอถึงห้องก็จัดแจงกางของกินมีข้าวเหนียว ส้มตำ อั่วพริกหยวก แล้วก็บาร์บีคิว ด้วยความที่มือเลอะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปอั่วพริกหยวกที่เพิ่งเคยกินครั้งแรกไว้ จริงๆหน้าตาก็เหมือนกับแอ๊บ ไม่รู้ความแตกต่างเหมือนกัน เป็นพริกหยวกกับใส่หมูสับกับวุ้นเส้น มีกลิ่นของใบที่ห่ออยู่ ไม่เผ็ด อร่อยดี กินอิ่มเรียบร้อย ก็อาบน้ำ เข้านอน
Day 4 Loei – Bangkok
เช้าตื่นขึ้นมาความปวดขายังไม่จางหายไป เดินเหมือนคนพิการไปมา ออกมาจากโรงแรมตอนเช้าเจ็ดโมงกว่า บรรยากาศเงียบมาก ร้านส่วนใหญ่ก็ปิด แถมรถก็ไม่มี โชคดีที่ร้านอาหารเช้าอยู่ไม่ไกล แค่ 350 เมตร เลยเดินไปได้ หลังจากกินไปกินมา สรุปว่าอาหารที่เมืองเลยที่ได้กินมารสชาติค่อนข้างจะคล้ายกันสำหรับอาหารประเภทเดียวกัน รสชาติใช้ได้อร่อยหมด ไม่ได้มีใครอร่อยไปกว่าใคร
กินเสร็จยังจุใจเพราะยังไม่ได้กินข้าวเกรียบปากหม้อตั้งแต่เมื่อวาน เลยตัดสินใจเดินไปดูที่ตลาดเช้า เพราะตลาดก็อยู่ไม่ไกลมากประมาณ 200 เมตร ไปถึงที่ตลาดเช้า คึกคักมาก ชาวบ้านเต็มไปหมด แต่ส่วนใหญ่จะขายแต่พวกผัก แล้วก็ของสด ดีที่ตาดี เห็นร้านข้าวเกรียบปากหม้ออยู่ด้านใน ซื้อกลับมากินที่โรงแรม รสชาติอร่อย เหมือนอีกร้านที่ตลาดเย็นเลย ขากลับอยู่ที่ตลาด เลยเรียกรถตุ๊กๆกลับมาได้ ลุงคิดคนละ 20 บาท สงสัยจะเป็นราคามาตรฐาน กลับมาถึงหน้าโรงแรม แฟนอยากกินกาแฟ จริงๆที่โรงแรมก็มีขาย แต่โรงแรมบอกว่าต้องรอทำอีก 3-4 แก้ว สปีดก็ดูช้าสุดๆ เลยตัดสินใจเดินไปที่ร้านภูเลยกาแฟที่อยู่ไม่ใกล้ ได้กาแฟมา กลับมานอนกินพร้อมข้าวเกรียบปากหม้อบนห้อง รู้สึกเพลียเหลือเกิน แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ยังไม่ทันจะหลับ ก็ถึงเวลาต้องไปสนามบินแล้ว
ขาไปสนามบินโทรไปจองแท๊กซี่ คิดราคา 150 บาท นัดไว้สิบโมงครึ่ง มาตรงเวลาเป๊ะ ขับไปไม่ถึง 15 นาที ก็ถึงสนามบินแล้ว ด้วยความที่กลัวว่าจะหิว เลยเดินไปกินร้านอาหารตามสั่งน่าสนามบิน กินเสร็จเดินกลับมา นั่งรอไม่นาน ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
สรุปทริปนี้ก็เป็นทริปที่สนุกสนาน ได้พิสูจน์ความฟิตแล้วว่าไม่ฟิตเท่าเก่า ภูกระดึงก็ยังคงสร้างความประทับใจได้ดีเหมือนครั้งที่มาครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นความใจดีของคนบนภู อาหารการกินที่อร่อย วิวที่สวยงาม แถมครั้งนี้ยังได้เห็นดาว ทางช้างเผือกเต็มท้องฟ้า อากาศก็ดี เย็นจนหนาว ต้องถือว่าโชคดีเพราะหลังจากลงมาอุณหภูมิบนภูก็เริ่มสูงขึ้นไม่เย็นเท่าตอนที่พวกเราอยู่ แถมครั้งนี้มีความสุขสุดๆ เพราะมีคนคอยดูแล คอยเรียกให้เซลฟี่กับป้าย จนได้เป็นหลาย Collection ขอบคุณนะคะ ที่ดูแลกันเหมือนเดิม ไว้รอแก่กว่านี้ อาจจะกลับไปทดสอบความฟิตใหม่ แต่ตอนนนี้ขอไปอุทยานฯอื่นก่อนนะ ไม่งั้นสมุดอุทยานฯคงไม่เต็มสักที
Comments are closed.